ในภาวะที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่อุบัติขึ้นใหม่จากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จนทำให้โรคโควิด-19 กลายเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ประชาคมต้องร่วมกันรับมือรอบด้านทั้งในด้านการรักษาและการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ การระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะพัฒนาและยกระดับความรู้ทางด้านสาธารณสุขให้ตอบสนองสังคมที่มิใช่เพียงบริบทของสังคมหากแต่เป็นบริบทของสังคมโลกจึงมีแนวคิดในการจัดตั้ง “สำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”ขึ้นอย่างเป็นทางการโดยจะใช้ชื่อเพื่อการสื่อสารในระดับสากล ว่า School of Global Health, Faulty of Medicine, Chulalongkorn University โอกาสนี้ ผู้หญิงแนวหน้า ขอนำบทสัมภาษณ์ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากวารสาร ฬฉบับเดือนสิงหาคม มาให้ได้อ่านกัน
จากการพัฒนาหลักสูตรเพื่อความเป็นนานาชาติ สู่วิสัยทัศน์การยกระดับเพื่อตอบสนองบริบทสังคมโลก
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกว่านับตั้งแต่ที่เข้าดำรงตำแหน่งคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ มีแนวคิดที่จะผลักดันและส่งเสริมให้งานวิชาการมีความเป็นนานาชาติ (Internationalization) มากยิ่งขึ้น กอปรกับศักยภาพด้านบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์ที่ล้วนมีความโดดเด่นในหลากหลายสาขาและมีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่นมาโดยตลอดการพัฒนาหลักสูตรให้มีความเป็นนานาชาติทั้งในระดับปริญญาตรี ระดับบัณฑิตศึกษา ตลอดจนดุษฎีบัณฑิตจึงเป็นแนวทางมุ่งพัฒนามาโดยตลอด
จวบจนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โรคอุบัติใหม่ที่สร้างความเสียหายไม่เพียงแต่ระบบสาธารณสุขของบางประเทศ แต่ยังส่งผลถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่างๆ อีกด้วย ปัญหาสุขภาพที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ทุกภาคส่วนของสังคมโลกในครั้งนี้ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ พร้อมด้วยคณะทำงานจึงเห็นว่าการเกิดโรคโควิด-19เป็นปัญหาทางสุขภาพที่ท้าทายไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศแต่เป็นความท้าทายร่วมกันของสังคมโลก จึงไม่สามารถมองได้เพียงเฉพาะการศึกษาองค์ความรู้ด้านพัฒนาการของเชื้อไวรัส การรักษาและการป้องกันการติดเชื้อเท่านั้นแต่ยังต้องให้ความสำคัญไปถึงการศึกษาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการด้านสุขภาวะในอนาคตอีกด้วย แนวความคิดนี้เองจึงเป็นที่มาในการขับเคลื่อนการศึกษาวิชาการด้านสุขภาพโลก (Global Health) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการจัดตั้งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลก โดย ศ.นพ.สุทธิพงศ์กล่าวว่า “คำว่า Global Health มองทั้งเรื่องการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม รวมถึงงานบริการทางการแพทย์โดยมีวัตถุประสงค์คือทำให้ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้สร้างผลผลิตที่ตอบสนองต่อปัญหาทางสาธารณสุขที่พลเมืองต้องเผชิญทั้งในปัจจุบันและอนาคตโดยมุ่งหวังถึงสุขภาพที่ดีของประชากรโลก และลดความเหลื่อมล้ำในด้านสุขภาพ”
แกนหลักเพื่อการผลักดันองค์ความรู้ของนักวิชาการให้เกิดการต่อยอดในระดับโลก
กลไกการส่งเสริมให้งานวิจัยและวิชาการของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในเวทีโลก ศ.นพ.สุทธิพงศ์ กล่าวว่า “ในคณะแพทยศาสตร์เรามีนักวิจัยและนักวิชาการผู้มากความสามารถในหลากหลายด้าน แต่จะทำอย่างไรให้ผลงานเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเวทีระดับโลก จึงเป็นที่มาว่าเราต้องสร้างตัวกลางที่จะจัดสรรและเชื่อมโยงงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์กับการศึกษาในระดับโลก”ดังนั้นการจัดตั้งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกจึงมีเป้าหมายในการเป็นตัวกลางในการดำเนินการดังกล่าวพร้อมขับเคลื่อนงานภายใต้วัตถุประสงค์ดังนี้
1.เพื่อเป็นแกนหลักในการบริหารหลักสูตรนานาชาติ สร้างหลักสูตรใหม่ให้โดดเด่นในการตอบโจทย์สุขภาพโลก
2.เพื่อผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะและศักยภาพสูงให้ตอบสนองต่อระบบการดูแลสุขภาวะ
3.เพื่อเปิดโอกาสและสร้างความเท่าเทียมในการเรียนรู้ เสริมศักยภาพและเพิ่มพูนสมรรถนะของบุคลากรจากภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทยและจากนานาประเทศ
4.เพื่อสร้างระบบและเครือข่ายทางการวิจัยร่วมกับนักวิจัยจากทุกภูมิภาคของโลกในการตอบโจทย์ความท้าทายด้านวิชาการสุขภาพโลก
5.เพื่อเป็นแหล่งเชื่อมโยงเครือข่ายและองค์กรทั้งในระดับประเทศและนานาชาติที่เอื้อต่อการผลิตงานวิจัยและประสานความร่วมมือกับสถาบันพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน
กระแสสุขภาพโลก ภารกิจสำคัญที่สังคมโลกมุ่งส่งเสริม
หากกล่าวถึงความสำคัญของสุขภาพโลกให้ผู้อ่านทุกท่านได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างได้จากสภาวการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่มีมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2562 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ทุกประเทศทั่วโลกที่จับตามองและให้ความสนใจในการศึกษาไปถึงต้นตอของธรรมชาติของโรค โดยแต่ละประเทศต่างระดมสมอง และสรรพกำลังค้นคว้าหาวิธีรักษาและป้องกัน ซึ่งการระบาดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสุขภาพโลกได้ดียิ่ง เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและสภาพสังคมอย่างรุนแรงเมื่อการระบาดของโรคดำเนินอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดโรคเองนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เพียงพอของระบบอภิบาลสุขภาพในระดับประเทศและระดับโลก จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติในด้านต่างๆ เช่น การศึกษาวิจัยนวัตกรรมด้านการแพทย์พยาบาล การบริการด้านสุขภาพ การผลิตวัคซีนและยารักษาโรค เป็นต้น ทั้งนี้ การแก้ปัญหาในแต่ละลำดับขั้นตอนล้วนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเพราะยังต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมในการเข้าถึงข้อมูลสินค้าและการบริการ ในขณะเดียวกันทุกประเทศจำเป็นต้องมีนโยบายการบริหารจัดการสถานการณ์อย่างรอบคอบ เพื่อจัดมาตรการอันเป็นที่ยอมรับและประชาชนทุกหมู่เหล่ายอมปฏิบัติตามอย่างพร้อมเพรียงเพื่อให้การป้องกันโรค การดำรงชีวิต สภาพเศรษฐกิจและสังคมขับเคลื่อนไปได้โดยทุกฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ
ในปี พ.ศ.2557 มีการริเริ่ม “วาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก (Global Health Security Agenda : GHSA)” โดยประเทศพันธมิตรกว่า 30 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย ภายหลังการระบาดของไวรัสอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกเพื่อยกระดับการเฝ้าระวังโรคระบาดให้เข้มแข็งผ่านยุทธศาสตร์การป้องกัน (Prevent) การเฝ้าระวัง (Detect) และการตอบโต้ (Respond)ที่มีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีสมาชิก 69 ประเทศ ประเทศไทยมีบทบาทนำ 2 ด้าน คือ ด้านการพัฒนากำลังคน และด้านการเฝ้าระวังโรคติดต่อและการพัฒนาเครือข่ายห้องปฏิบัติการระดับชาติ อีกทั้งยังเป็นประเทศสนับสนุนการป้องกันเชื้อดื้อยาดังนั้นจะเห็นได้ว่า “สุขภาพโลก” ไม่ใช่ปัญหาที่หน่วยงานใดหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ หากแต่เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนและหน่วยงานจากทุกภาคส่วนต้องระดมความคิดงานวิจัย เพื่อออกนโยบายและสรรสร้างเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาอย่างทันสมัยตอบโจทย์ของบริบทโลกในปัจจุบันมาเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลงรอบด้านอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์และสาธารณสุข เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมการศึกษาประเด็นสุขภาพโลกอย่างรอบด้านภายใต้ 3 ประเด็น
การดำเนินงานของสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกมีแนวทางในการดำเนินงานภายใต้ 3 ประเด็นหลักที่ครอบคลุมทั้งในเรื่ององค์ความรู้ด้านสุขภาพและการบริหารจัดการเพื่อการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม ดังต่อไปนี้
1.โรคที่ติดต่อได้ (Communicable Diseases-CD)
2.โรคไม่ติดต่อ (Non-Communicable Diseases-NCD)
3.ระบบสุขภาพ (Health systems)
แต่ละประเด็นจะมุ่งเน้นการประสานความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันจากทั้ง 22 ภาควิชาในคณะแพทยศาสตร์มาทำให้งานวิจัยมีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้านระบบสุขภาพที่จะมีการประสานความร่วมมือทั้งหน่วยงานภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาทิ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขหน่วยงานภายนอกอย่างกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรต่างประเทศเพื่อเชื่อมต่อให้เกิดการเพิ่มพูนความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระยะที่ 1 : นำร่องพัฒนาหลักสูตรเริ่มใช้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะเริ่มดำเนินการจัดตั้งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกควบคู่ไปกับการนำร่องในการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต Clinical Science (International Program) : Global Health and Tropical Medicine โดย ศ.นพ.สุทธิพงศ์อธิบายว่า หลักสูตรดังกล่าวจะได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นถึงภาพรวมของการศึกษาที่เป็นระดับโลกมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นข้อกังวลด้านสุขภาพที่สังคมโลกเผชิญร่วมกัน (Global Concern)
อย่างไรก็ดี การพัฒนาหลักสูตรเนื้อหายังรวมไปถึงการปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีด้าน Tele-Education เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้เรียน ขณะเดียวกันผู้เรียนยังต้องได้รับทักษะและประสบการณ์อย่างเต็มที่ โดยในอนาคตมีแนวคิดที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนด้วยการจัดหาเนื้อหาหลักสูตรออนไลน์จากสถาบันชั้นนำระดับโลกมาเป็นเนื้อหาและบทเรียนสำหรับให้ผู้เรียนศึกษาความรู้ทางทฤษฎีหรือต่อยอดซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเติมเต็มให้ได้รับความรู้ที่เป็นนานาชาติยิ่งขึ้นอีกด้วย
ระยะที่ 2 : พัฒนาหลักสูตรใหม่ตอบโจทย์ประเด็นสุขภาพโลก
นอกจากการพัฒนาหลักสูตรแล้ว สำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกยังเตรียมที่จะเข้าไปมีบทบาทในการดูแลและพัฒนาหลักสูตรนานาชาติทุกหลักสูตรของคณะแพทยศาสตร์เพื่อให้บัณฑิตมีความสนใจในประเด็นระดับโลกพร้อมกับส่งเสริมให้ผู้เรียนในทุกหลักสูตรเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานระดับโลกได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังเตรียมการสร้างหลักสูตรใหม่ที่มีเนื้อหาในด้านสุขภาพโลกอย่างแท้จริง ศ.นพ.สุทธิพงศ์ เล่าถึงแนวคิดในการผลิตบัณฑิตของสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนเฉพาะบุคคล (Personalized learning) ตามเป้าหมายอาชีพและความสนใจของนิสิต (Career of choice) กล่าวคือจะเป็นตัวกลางในการจัดหาและประสานความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศตลอดจนต่างประเทศในสายงานที่สนใจมาให้เพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์และเครือข่ายในการทำงานด้านนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น หากผู้เรียนมีความสนใจศึกษาด้านนโยบายสุขภาพ สำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกจะเป็นตัวกลางให้ได้มีโอกาสในการเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์จากหน่วยงานผู้ออกนโยบายในระดับประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรสากลที่ลงพื้นที่ปฏิบัติงานในด้านนี้มุ่งหวังว่าผู้เรียนจะเป็นบัณฑิตที่มีความพร้อมทั้งในด้านองค์ความรู้ เครือข่ายการทำงาน มีทักษะความเป็นผู้นำตอบสนองต่อประเด็นสุขภาพในระดับโลกและเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมจริยธรรม
ไม่เพียงแต่หลักสูตรระดับปริญญาบัณฑิตที่คณะแพทยศาสตร์เตรียมที่จะพัฒนาและเปิดใหม่เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพของโลกเท่านั้น ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ระบุว่ายังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาหลักสูตรระดับประกาศนียบัตร (Non-degree) สำหรับบุคคลทั่วไปตลอดจนบุคลากรในสายงานสาธารณสุขที่มีความสนใจต้องการทบทวนทักษะความรู้ (Re-skill) และพัฒนาความรู้ (Up-skill) อีกด้วย
ส่งเสริมโอกาสงานวิจัยให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนกับนักวิจัยระดับโลก
การส่งเสริมให้บัณฑิตพร้อมทำงานขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพในฐานะพลเมืองนั้น ไม่เพียงจะต้องจัดการเรียนรู้ให้ตรงตามความสนใจหรือเป้าหมายของผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโอกาสในการเข้าถึงแหล่งความรู้และบุคคลผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอย่างแท้จริง พันธกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งจึงเป็นเรื่องของการผลักดันให้งานวิจัยของบุคลากรคณะแพทยศาสตร์มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับสถาบันในระดับโลก ซึ่งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันชั้นนำระดับโลกมาเป็น International Advisory Board ซึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยในด้านการนำงานวิจัยของบุคลากรคณะแพทยศาสตร์ได้ร่วมแลกเปลี่ยนและนำเสนอโครงการให้กับผู้ที่มีความสนใจตรงกันและมีทัศนคติที่มุ่งผลประโยชน์ส่วนรวมการสร้างเครือข่ายพันธมิตรรอบโลกและการชี้แนะแหล่งทุนสนับสนุนขนาดใหญ่โดยมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกกว่า 10 ท่าน ที่ตอบรับมาร่วมเป็น International Advisory Board อาทิ Dr.Dennis Carroll จาก Texas A&M University ประเทศสหรัฐอเมริกา Prof.Michelle A.Williams, Dean of the Faculty, Harvard T.H. Chan School of Public Health ประเทศสหรัฐอเมริกา Prof. Drew Weissman จาก University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Prof.Vivekanand Jha จาก The George Institute for Global Health ประเทศอินเดีย โดยความร่วมมือจากนักวิจัยภายในองค์กรและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศนี้จะเป็นส่วนสำคัญผลักดันให้นิสิตที่ศึกษาในหลักสูตรได้รับโอกาสฝึกฝนประสบการณ์กับสถาบันระดับโลกซึ่งจะทำให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษามีความพร้อมในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง
ต้นแบบการให้ความสำคัญกับประเด็นสุขภาพของโลกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การจัดตั้งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเสริมความแข็งแกร่งในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศของคณะแพทยศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและตอบสนองกับเป้าหมายของประชาคมโลก โดยมี ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลก ขับเคลื่อนการบริหารจัดการลักษณะนี้เป็นการบริหารจัดการที่ปรับเปลี่ยนให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพ (Sandbox Operation) ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ส่งเสริมให้แต่ละหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยประยุกต์ใช้ ดังนั้น การจัดตั้งสำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลกจึงจะเป็นตัวอย่างที่นำร่องหน่วยงานอื่นๆ ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อไป
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ความคาดหวังเราอยากจะสร้างนักวิจัยนักวิชาการที่จะศึกษาในหลักสูตรนี้ในรูปแบบตามความสนใจของตนเอง ภายใต้แกนหลักสำคัญคือประเด็นสุขภาพของสังคมโลกเพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรนี้ตระหนักถึงการทำงานเพื่อให้ประชาคมจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี