สภาวะของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทุกขณะ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเป็นสังคมเมือง คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาโรคอุบัติใหม่เป็นภัยคุกคามมนุษย์ นอกจากนี้ยังอาจทำให้โรคเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว กลับมาแพร่ระบาดได้อีก เราจึงต้องเตรียมบุคลากรและความรู้เพื่อต่อสู้และป้องกันโรคเหล่านั้น
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย นำคุณไปสนทนากับ ศาสตราจารย์นายแพทย์ สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณะบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงประเด็นภัยคุกคามของโควิด-19 และการรับมือกับโรคอุบัติใหม่
เรียนถามว่าความรุนแรงร้ายแรงของปัญหาโควิด-19 ในปัจจุบันอยู่ในระดับใดครับ และหากสามารถแก้ปัญหานี้ได้แล้ว มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่โรคนี้จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครับมีแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำรอยได้ไหมครับ
ศ.น.พ.สุทธิพงศ์ : จากการประมาณสถานการณ์ก็ถือได้ว่าเราทุกคนทั่วทั้งโลกกำลังอยู่ในช่วงการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ซึ่งยังคงต้องต่อสู้กันต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนในอนาคตนั้นจะโรคนี้จะกลับมาแพร่ระบาดอีกหรือไม่ ก็อาจจะตอบได้ว่าอาจจะเกิดได้เป็นระยะๆ ส่วนจะหนักหรือเบาก็ต้องดูว่าโดยภาพรวมของประชากรโลกนั้นมีภูมิต้านทานเชื้อนี้ในระดับใด ภูมิต้านทานอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เกิดโดยธรรมชาติ คือเกิดขึ้นหลังจากร่างกายติดเชื้อแล้ว หรือการสร้างภูมิด้วยการฉีดวัคซีนในคนหมู่มาก เมื่อประชากรหมู่มากมีภูมิแล้ว โรคก็จะสงบลงไป แต่ในปัจจุบันเมื่อภูมิต้านทานในประชากรโลกยังมีไม่มาก ก็อาจจะเกิดการระบาดเป็นระลอกๆ แต่ต้องเรียนว่าไม่ใช่แค่โรคโควิด-19 อย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจจะเกิดโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ระบาดได้ด้วย เนื่องจากปัญหา climate change และ global warming ที่อาจเอื้อให้เกิดโรคบางอย่างระบาด ทั้งโรคอุบัติใหม่ หรือโรคที่เคยสงบแล้ว แต่กลับมาระบาดอีก ดังนั้น คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาฯ ต่างตระหนักถึงเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และพยายามหาทางป้องกันมาโดยตลอด ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่การระบาดของเมอร์ส และซาร์ส จะพบว่าเราได้ให้ความสำคัญกับโรคทั้งสองและพยายามเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่อย่างจริงจัง โดยจัดตั้งศูนย์โรคอุบัติใหม่ ตั้งแต่ประมาณปี 2558 โดยเราใช้อาคารจงกลณีเป็นศูนย์ทำงานด้านนี้ แต่ช่วงแรกๆ ของการเปิดศูนย์นั้น ปัญหาโรคอุบัติใหม่ไม่รุนแรงมากนัก จนกระทั่งเกิดปัญหาโควิด-19 ระบาดระลอกหลังๆ จะได้พบว่าที่เราคิดว่าเตรียมการไว้ดีแล้ว ก็ยังพบว่ามีปัญหาอีกหลายเรื่องตามมา เพราะโรคนี้ระบาดรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าที่เราคิด
ปัญหาโควิด-19 ส่งผลให้หมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ของจุฬาฯ ติดโรคนี้มากไหมครับ
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ : บุคลากรด่านหน้าจริงๆ ของเราได้รับผลกระทบบ้างครับ แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรทั้งหมด โดยเราพบว่ามีบุคลากรของเราติดเชื้อจากการแพร่ระบาดระลอกหลังๆโดยเฉพาะสายพันธุ์ Delta ที่ติดเชื้อได้ง่ายมาก แม้เราจะพยายามป้องกันบุคลากรของเราอย่างเต็มที่แล้วก็ยังมีบางคนติดเชื้อบ้าง แต่ย้ำว่าเป็นจำนวนน้อย แล้วเราก็แยกตัวไปรักษาโดยทันทีจนทุกคนหายเป็นปกติ แต่ต้องเรียนว่าสาเหตุที่ติดเชื้อนั้นไม่ได้มาจากการดูแลคนป่วย แต่บางรายติดจากคนในครอบครัว หรือจากเพื่อนบ้าน ขอย้ำว่าไม่ได้ติดจากการปฏิบัติหน้าที่ครับ และย้ำว่าทุกวันนี้บุคลากรทุกคนของเราปลอดเชื้อโควิด-19 ครับ
ในฐานะที่คณะแพทย์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย มีภารกิจหลักคือต่อสู้ป้องกันและรักษาโรคต่างๆ ให้ประชาชน กรณีโควิด-19 อย่างหนักและรวดเร็ว ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ได้บทเรียนอะไรบ้างครับ
ศ.ดร.สุทธิพงศ์ : อันแรกคือต้องกลับมาประเมินเรื่องการเตรียมพร้อมบุคลากรของเรากับการรับมือโรคอุบัติใหม่ และมีความเห็นร่วมกันว่าต้องเน้นการสร้างสมรรถนะของคนให้สอดรับกับการเรียนรู้และเข้าใจโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ที่อาจจะเกิดในอนาคต เราจึงให้ความสำคัญกับ future medicine และ global health มากยิ่งขึ้น เราให้ความสำคัญกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาวะโลก เช่น เรื่อง climate change และ urbanization(สภาพความเป็นเมือง) ซึ่งเมื่อมีความเจริญทางวัตถุแต่ก็อาจจะก่อให้เกิดโรคใหม่บางชนิดขึ้นมา เราจึงจำเป็นต้องให้บ่มเพาะองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้นิสิตแพทย์ แพทย์ฝึกหัด และบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความสนใจกับเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าโรคใหม่ๆสามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต และอาจมีความถี่ของการเกิดโรคได้ง่ายในสภาพที่สิ่งแวดล้อมของโลกและสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เรียนถามเรื่องความคืบหน้าของ School of Global Health ครับ
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ : เรียนว่าจริงๆ แล้วแนวความคิดนี้เกิดขึ้นก่อนที่สังคมไทยจะเกิดปัญหาโควิด-19ระบาด คือเราทุกคนในคณะฯ เริ่มมองเห็นว่ามีปัญหาโรคติดเชื้อต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยขึ้นในสังคมมนุษย์ เราจึงระดมอาจารย์แพทย์ และนักวิจัยด้านการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ มาระดมสมองร่วมกัน ทำงานด้วยกัน เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่สำหรับรับมือกับโรคอุบัติใหม่ ครั้นเกิดโควิด-19แพร่ระบาด เราก็ทุ่มเททำงานร่วมกันมากขึ้น ดังจะเห็นว่าในการระบาดรอบแรกนั้น ประเทศไทยแก้ปัญหาได้ดีมากจนนานาชาติให้การชื่นชม และนำเอาความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้ชุมชนวิชาการต่างๆ ได้รับทราบ นอกจากรับมือกับโรคติดเชื้อ โรคอุบัติใหม่แล้วเรายังให้ความสำคัญกับโรคไม่ติดเชื้อที่เป็นปัญหาของมนุษย์ด้วย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และเรื่องนโยบายด้านสาธารณสุขในด้านต่างๆ เพื่อการมีสุขภาวะที่ดีของประชาชน อย่างที่เรียนไปแล้วคือ โรคต่างๆ จะมากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโลกร้อนขึ้น สภาพเมืองที่แปรเปลี่ยนไป ดังนั้นเราจึงรวมนักวิชาการด้านการแพทย์ นักวิจัย นักวิทยาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อสร้างองค์ความรู้และเพื่อให้เกิดplatform กลางที่เอื้อให้ทำงานด้านการแพทย์และการวิจัยทดลองได้สะดวก โดยเราเชื่อมโยงไปยังสถาบันการแพทย์และวิจัยที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศที่พัฒนาในระดับน้อยกว่าเรา เพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่ที่ครอบคลุม และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในโลกใบนี้ ด้วยความตั้งใจว่าหากเกิดโรคอุบัติใหม่ร้ายแรงขึ้นมาอีก เราจะได้สามารถช่วยเหลือกันและกันได้ทันที และเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ให้กันและกัน หลักสูตรนี้ทำเป็นนานาชาติ เราศึกษาด้าน basic science และ tropicaldiseases ในระดับ global health โดยดึงผู้ศึกษาจากทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน โดยเน้นว่าการเรียนรู้ในเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การได้รับปริญญา คือไม่เน้น degree แต่เปิดให้ผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้แบบ non degree โดยกำหนดหลักสูตรต่างๆในระยะเวลาที่เหมาะสม เมื่อผู้เรียนมีความรู้แล้วก็กลับไปดูแลแก้ปัญหาของสังคมและชุมชนของตนเองโดยทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายผมมองว่าในอนาคตหลังโควิด-19การเรียนรู้ต่างๆ จะเปลี่ยนไปจากเดิม เราคงไม่ได้กลับไปอยู่ในห้องเรียนตลอดเวลาเหมือนเดิม แต่จะสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่นอกห้องเรียนโดยถ่ายทอดความรู้ผ่านระบบ hybrid และvirtual แต่คงค่อยๆ ทำไปที่ละขั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ให้ดีที่สุด
เรียนถามเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของจุฬาฯ ที่ชื่อ ChulaCov19 ซึ่งนานาชาติกำลังจับตามองด้วยความสนใจมาก มีคำถามว่ารัฐบาลสนับสนุนทุนการวิจัยนี้อย่างไรบ้างครับ เพราะนี่คือความหวังของมนุษยชาติ
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ : การที่จุฬาฯ พัฒนาวัคซีนได้ด้วยตัวเอง คือการตอบโจทย์ ในเรื่อง SDG(Sustainable Development Goals) คือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน คุณเฉลิมชัยลองคิดดูว่าถ้าเกิดปัญหาโควิด-19 แล้วไม่สามารถส่งยา ส่งความช่วยเหลือด้านการแพทย์ให้กันได้ ประเทศที่ขาดวัคซีนก็จะขาดโอกาสเข้าถึงยา การที่ไทยสามารถพัฒนาวัคซีนได้เอง ทำให้เรามีอาวุธสำหรับต่อสู้เชื้อโรคร้ายได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อเกิดโรคระบาดอื่นๆ ขึ้นมาอีกเราก็สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้นโดยไม่จำเป็นต้องรอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะเราผลิตวัคซีนและยาได้เอง แล้วเรายังสามารถให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ได้ด้วย สำหรับวัคซีนChulaCov 19 คือสิ่งที่ทีมอาจารย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรมได้พัฒนามาก่อนที่จะมีการระบาดของโควิด-19ครั้นเมื่อเชื้อนี้ระบาด ประเทศเรามีองค์ความรู้สำหรับต่อสู้กับโรคได้รวดเร็ว ซึ่งงานนี้ทีมของอาจารย์เกียรติได้ทำวิจัยร่วมกับศาสตราจารย์ในต่างประเทศด้วย สำหรับคำถามว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนทุนวิจัยอย่างไร ก็ต้องขอบคุณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่สนับสนุนเรื่องนี้ด้วยดีมาโดยตลอด จนผ่านการทดลองขั้น 1-2 ไปแล้ว และรัฐบาลก็สนับสนุนการวิจัยนี้ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แต่หากจะให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงทั้งโครงการก็ต้องใช้เงินอีกประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นของตนเองโดยสมบูรณ์ และการที่จะบรรลุจุดประสงค์เรื่องนี้โดยเร็วก็ต้องขอความอนุเคราะห์จากภาครัฐช่วยลดขั้นตอนการทำงานบางอย่างลง ผ่อนปรนระเบียบบางอย่างเพื่อให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น นี่คือสิ่งที่อยากได้จากภาครัฐครับ ผมมั่นใจว่ารัฐบาลเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ และพยายามสนับสนุนอยู่ เมื่อจุฬาฯ ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จก็หมายความว่าประเทศไทยของเรามีองค์ความรู้ในการผลิตวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ในอนาคตด้วย
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตี ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น.ทางโทรทัศน์ NBTกดหมายเลข 2 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ไลฟ์วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี