“หัวใจ” อวัยวะขนาดเล็กเท่ากำปั้น แต่มีความสำคัญต่อร่างกาย เพราะทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเพื่อไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ และเนื่องจากเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อน เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงอาจไม่ทราบในทันที ทำให้โรคหัวใจเป็นโรคยอดฮิตอันดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยจากสถิติกระทรวงสาธารณสุข(16 กันยายน 2561) พบว่ามีจำนวนคนไทยที่ป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด 432,943 คน มีอัตราการเสียชีวิตถึง 20,855 คนต่อปี หรือชั่วโมงละ 2 คน
เนื่องในวันหัวใจโลก ที่ผ่านมารองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุพจน์ศรีมหาโชตะ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อุปนายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ให้ความรู้และตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหัวใจ เพื่อให้คุณได้เข้าใจและสามารถดูแลหัวใจดวงน้อยนี้ให้ได้ดียิ่งขึ้น
ทำไมเป็นโรคหัวใจกันเยอะ? ในปัจจุบัน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบนับได้ว่าเป็นโรคหัวใจที่คนไทยเป็นกันมากที่สุด โดยเกิดจากผนังของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary) เสื่อมสภาพส่งผลทำให้ไขมันและเนื้อเยื่อต่างๆ ก่อตัวหนาขึ้นและทำให้เกิดการอุดตันภายในหลอดเลือดหัวใจ เป็นเหตุให้หลอดเลือดหัวใจเกิดการตีบและตันส่งผลให้การไหลเวียนเลือดภายในหัวใจมีประสิทธิภาพลดลงและสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ ท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลให้เกิด “ภาวะหัวใจล้มเหลว” ได้ในที่สุด ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยด้านอายุ เพศ ที่ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแล้ว ปัจจัยทางพันธุกรรม อย่างการมีพันธุกรรมผิดปกติ การมีฮอร์โมนทางเพศไม่สมดุล หรือพันธุกรรมที่ส่งผลให้เกิดไขมันมากผิดปกติ เป็นต้น และปัจจัยด้านพฤติกรรมและปัญหาสุขภาพ ที่มีความเสี่ยง และส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพอย่าง การสูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ทานอาหารไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ก็ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยเช่นกัน
ลดเสี่ยงโรคเบาหวาน-ความดันปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เท่ากับลดเสี่ยงโรคหัวใจ สิ่งที่สำคัญในการลดอัตราการเกิดโรคหัวใจคือการควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเสี่ยง ดูแลรักษาสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงของโรคอื่นๆ อย่าง โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคอ้วน ฯลฯ ที่มีปัจจัยเกี่ยวเนื่องและส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพได้
นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายให้พอเหมาะไม่หนักเกินไปอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อสุขภาพและการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เช่น การสูบบุหรี่ควบคุมอาหารและทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ไม่ทานอาหารที่มีไขมันสูงจนเกินไป จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง หมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงและวางแผนการป้องกัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ภาวะรุนแรงต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อชีวิต อย่าง “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด” และ “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน” ซึ่งเป็นผลมาจากไขมันที่สะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดเกิดการแตกตัวออกและเกิดลิ่มเลือดอุดตันแบบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดข้อบ่งชี้ที่แสดงอาการของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกในขณะออกกำลังกาย มีอาการเหนื่อยผิดปกติ หรืออาจจะมีอาการเป็นลมล้มหมดสติ ซึ่งจะต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ดูอาการและรักษาโดยด่วนเพื่อป้องกันการเกิดภาวะเฉียบพลันและเสียชีวิตนั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี