ในยุคของการมีการระบาดของโรค ทำให้กระแสการดูแลสุขภาพมาแรง เพื่อช่วยเรื่องการป้องกันหรือลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะช่วงนี้คือ เทศกาลกินเจ ซึ่งตรงกับวันที่ 6-14 ตุลาคม ถือเป็นช่วงเวลาดีๆที่ทุกคนจะได้มีโอกาสทำบุญ ชำระจิตใจให้สะอาด ซึ่งปัจจุบันการกิน Plant-based Meat และการกินเจกลายเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ไปแล้ว เพราะนอกจากจะได้ทำบุญ ด้วยการงดเว้นเนื้อสัตว์และอบายมุขต่างๆ แล้ว การกินเจยังช่วยส่งเสริมให้สุขภาพดีได้อีกด้วย แต่นั่นต้องรู้จักการกินเจอย่างถูกต้องเหมาะสม
ข้อมูลจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา กรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เปิดเผยว่า การกินเจตามธรรมเนียมนิยมแต่โบราณอย่างเคร่งครัดนั้น นอกจากจะต้องงดการบริโภคเนื้อสัตว์แล้วยังห้ามบริโภคผักที่มีกลิ่นฉุนบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม หลักเกียว (ลักษณะคล้ายกระเทียมแต่มีขนาดเล็กกว่า) กุยช่าย ใบยาสูบ เป็นต้น เพราะชาวเจเชื่อว่าผักที่มีกลิ่นฉุนจะเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ปกติ การกินเจที่เคร่งมากจะไม่ใช้ภาชนะที่เคยใช้กับอาหารคาวมาก่อน ฉะนั้นหม้อ จาน ชาม และภาชนะอื่นๆ ที่ใช้ต้องเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยปนเปื้อนอาหารคาวมาก่อน หรือเป็นชุดที่ใช้กับอาหารเจโดยเฉพาะ
ส่วนผู้ที่กินเจเพื่อเป็นการรักษาสุขภาพหรือกินตามความนิยม อาจไม่จำเป็นต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดขนาดต้องซื้อถ้วย ชาม หรือเครื่องครัวใหม่ และในกรณีที่เจ็บป่วยการกินผักกลิ่นฉุนก็อนุโลมได้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่จะทำให้ผิดศีล หากใช้ผักเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรค ที่จริงแล้วผักเหล่านั้นมีสารพฤกษเคมีที่ช่วยในการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันมะเร็ง และมีองค์ประกอบเป็นยาอยู่แล้ว
อาหารเจอุดมไปด้วยธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และผลไม้ ซึ่งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี สารเฟลโวนอยด์และใยอาหาร
สารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีนอยด์ วิตามินซี และวิตามินอี ช่วยลดอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ชะลอแก่ ส่วนวิตามินที่มีมากในผักผลไม้ ได้แก่ เบต้าแคโรทีน ซึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอในร่างกายวิตามินบี และวิตามินซี วิตามินบีที่สำคัญในผักผลไม้คือ โฟเลตช่วยป้องกันโลหิตจาง ป้องกันการก่อตัวที่ผิดปกติของสมองในเด็กทารกขณะแม่ตั้งครรภ์ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงสมองเสื่อม วิตามินซี ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กในพืช จึงช่วยลดความเสี่ยงโลหิตจางในชาวเจ แร่ธาตุที่มีมากในผักและผลไม้คือโพแทสเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และแคลเซียม
การกินเจอย่างเคร่งครัดในช่วง 10 วัน เป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะในผัก ผลไม้ และธัญพืชที่กินนั้น แต่ละชนิดให้คุณค่าสารอาหารที่ต่างกันออกไป แต่ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันและอาหารที่ส่วนผสมของน้ำตาลสูง สำคัญตรงที่รู้จักเลือกกินให้หลากหลายอย่างถูกหลัก เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนและสมดุล การผสมผสานของผักผลไม้ เมล็ดธัญพืชจำพวก ข้าว ถั่วต่างๆ งา ถั่วเหลือง รวมถึงเห็ด ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์
เห็ด มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการครบถ้วน นอกจากนี้ เห็ดยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งธาตุเหล็ก และซีลีเนียม ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยผู้กินเจสามารถเลือกเมนูเห็ดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ต้มยำเห็ดฟางยำเห็ดโคนญี่ปุ่น เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดหูหนู หรือผัดเห็ดหอม เป็นต้น จะทำให้ได้รับสารอาหารหลากหลายเหมาะสมและได้โปรตีนที่สมบูรณ์
ผักนานาชนิด เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการกินเจ แต่ถ้าจะกินให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรกินเป็นผักสด หรือลวก มากกว่านำมาผัดที่ใช้น้ำมันราดจนเยิ้ม หรือผัดน้ำมันแต่น้อยและควรกินผักให้ครบ 5 สี คือ สีแดง-ส้ม จากมะเขือเทศพริกสุก แครอท สีดำ-น้ำเงิน-ม่วง จากถั่วดำ เผือก มะเขือม่วงสีเหลือง จากฟักทอง ถั่วเหลือง มะม่วงสุก ข้าวโพดสีเขียว เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว และ สีขาวจากลูกเดือย ผักกาดขาว ควรกินสลับกันไปในแต่ละวันเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน และในผู้ต้องการกินเจแบบเคร่งต้องงดเว้น กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นฉุน
ธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้ มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย เช่น วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี สารเฟลโวนอยด์และใยอาหาร ซึ่งผู้กินเจควรเลือกกินผลไม้ให้หลากหลาย เช่น ส้ม กล้วย แอปเปิ้ล ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดชื่น และเส้นใยอาหารจากผลไม้ ช่วยให้ระบบย่อยและการขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมใยอาหารชนิดละลายน้ำช่วยลดคอเลสเทรอลและระดับน้ำตาล ส่วนใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำช่วยป้องกันท้องผูก ผักผลไม้ที่มีใยอาหารทั้งสองประเภทสูง ได้แก่พรุน ส้ม กล้วย ถั่วเหลือง ถั่วฝักยาว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การกินเจที่ดีต่อสุขภาพนั้น ต้องระมัดระวังอาหารประเภทแป้งและไขมัน ควรเน้นผักผลไม้ให้มากๆ เพราะถ้าเผลอกินอาหารที่ปรุงสำเร็จ ซึ่งมักจะใช้ “หมี่กึง” ซึ่งเป็นแป้งทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ รับรองความอ้วนมาเยือนแน่ๆควรเลือกอาหารที่ปรุงด้วยผัก เต้าหู้ และโปรตีนเกษตร ส่วนอาหารทอดๆ ก็ไม่ควรกินมาก ไม่อย่างนั้นพอหมดช่วงกินเจ รอบเอวจะเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนั้น อาหารเจในปัจจุบันมีการนำเครื่องปรุงรสเช่น ซอส เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เกลือ ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
ดังนั้น จึงไม่ควรกินอาหารเจที่มีรสเค็มเกินไป ประกอบกับอาหารเจส่วนใหญ่เป็นประเภทผัดและทอด ซึ่งจะมีน้ำมันมากควรกินประเภทต้มหรือนึ่งจะดีกับสุขภาพมากกว่า และที่สำคัญอย่าลืมขยับกาย เคลื่อนไหวให้เหงื่อออกทุกวัน
นอกจากนี้ ช่วงกินเจควรใส่ใจดื่มน้ำให้มากอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะอาหารที่มีกากใยสูงต้องการน้ำในการทำงาน หากดื่มน้ำไม่พออาจทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส ปวดท้องได้ ควรละเว้นเครื่องดื่มมึนเมาและบุหรี่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมผลจากอาหารเจต่อสุภาพให้ดียิ่งขึ้น และประการสำคัญ พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใสอย่าให้เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพที่ดีเยี่ยมจะไม่หนีไปไหน
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี