กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจางประกอบด้วย สตรีมีครรภ์ สตรีหลังคลอด สตรีมีประจำเดือน รวมถึงเด็กในวัยเจริญเติบโต เป็นต้น จะเห็นได้ว่าคุณผู้หญิง จะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจางมากกว่าผู้ชาย โรคโลหิตจางส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากการขาด “ธาตุเหล็ก” ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง สำหรับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมีอยู่ในเนื้อสัตว์เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ไข่ ผักสีเขียวจัด เช่น คะน้า ผักบุ้ง และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ร่วมกับรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงในมื้อเดียวกัน เพราะวิตามินซีช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
ข้อมูลจาก รศ.ดร.ภญ. บุษบา จินดาวิจักษณ์ และ ผศ. ภก.ศุภทัต ชุมนุมวัฒน์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ภาวะโลหิตจาง (anemia) หรือที่มักเรียกกันติดปากว่า ภาวะเลือดจางนั้น คือภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ พบมากทั้งในเด็ก สตรีวัยเจริญพันธุ์ สตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ ซึ่งผู้ที่มีภาวะโลหิตจางอาจไม่แสดงอาการ หรือมีอาการ โดยขึ้นกับความรุนแรงของภาวะโลหิตจาง เช่น อ่อนเพลีย ซีด วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลจากการที่ออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ได้น้อยลง โดยภาวะโลหิตจางนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
l การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง มักพบในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโรคที่ทำให้เกิดภาวะอักเสบเรื้อรัง หรือรับประทานหรือใช้ยาที่กดการทำงานของไขกระดูก
l มีภาวะขาดวิตามินหรือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญของเม็ดเลือดแดงเช่น ภาวะขาดวิตามินบี12 หรือภาวะขาดกรดโฟลิก หรือมีภาวะติดสุราเรื้อรัง ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลหิตจางที่เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่กว่าปกติ (macrocytic anemia) หรือมีภาวะที่ไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กหรือมีภาวะขาดธาตุเหล็กจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ หรือเป็นโรคธาลัสซีเมียซึ่งทำให้เกิดภาวะโลหิตจางที่เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กกว่าปกติ (microcyticanemia)
l มีภาวะเสียเลือดเฉียบพลันในปริมาณมาก
อนึ่ง การได้รับการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจค่าทางห้องปฏิบัติการ จะช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงและสาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจางของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้น เมื่อสงสัยว่ามีอาการของภาวะโลหิตจาง จึงไม่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ด้วยตนเอง หรือซื้อไปฝากผู้อื่น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้อาจไม่ตรงกับสาเหตุ หรือใช้ในขนาดไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล และก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ธาตุเหล็ก ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นทางเลือกในการรักษาภาวะโลหิตจางได้ทุกประเภทและไม่มีอันตรายใดๆ
ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็กที่มีในประเทศไทยนั้นมีทั้งแบบรับประทานและแบบฉีด ซึ่งโดยมากแพทย์จะเลือกชนิดรับประทานก่อน เนื่องจากมีความสะดวกและเหมาะกับผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กหรือผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่มีภาวะโลหิตจางและ/หรือจำเป็นต้องได้รับยาฉีดอีพีโอดังนั้น หากผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางจากสาเหตุอื่นๆ เช่น มีภาวะขาดวิตามินบี12หรือภาวะขาดกรดโฟลิก การรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็กเพียงอย่างเดียวจะไม่ช่วยให้อาการของภาวะโลหิตจางดีขึ้น หรือในกรณีที่อันตรายไปกว่านั้นคือ หากผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่มีความรุนแรงของโรคในระดับรุนแรงมากหรือปานกลาง ซึ่งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่แล้ว และได้รับธาตุเหล็กเข้าไปในปริมาณมากจะทำให้เกิดภาวะธาตุเหล็กในเลือดสูงและเกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายใน เช่น ตับ ตับอ่อน หรือหัวใจ ได้
โดยทั่วไป ปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำในผู้ป่วยโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือ 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน(คิดตามปริมาณธาตุเหล็ก) โดยผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดอาจเลือกใช้ธาตุเหล็กรูปแบบเกลือที่ต่างกันซึ่งจะให้ปริมาณธาตุเหล็กที่ไม่เท่ากัน และเมื่อเริ่มการรักษาไปแล้ว ควรได้รับการติดตามผลการรักษาเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนเพื่อประเมินความจำเป็นในการปรับขนาดการรับประทาน
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยจากการรับประทานธาตุเหล็ก ได้แก่ อาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียหรือท้องผูก ดังนั้น หากมีอาการข้างเคียงเหล่านี้อาจลองรับประทานธาตุเหล็ก พร้อมหรือหลังมื้ออาหารทันที หากอาการข้างเคียงไม่ลดลงควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนการรักษา นอกจากนี้ การรับประทานธาตุเหล็กอาจทำให้การดูดซึมยาปฏิชีวนะบางชนิดลดลงได้ ดังนั้น ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรว่ากำลังรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็กทุกครั้งที่เข้ารับบริการหรือได้รับยาใดๆ เพิ่มเติม
โดยสรุป การรับประทานธาตุเหล็กเพื่อแก้ภาวะโลหิตจางใช้ได้กับผู้ป่วยโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้เสริมกับยาอื่นเพื่อแก้ภาวะโลหิตจางในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่มีภาวะโลหิตจางและ/หรือจำเป็นต้องได้รับยาฉีดอีพีโอ เท่านั้น สำหรับผู้สนใจข้อมูลสุขภาพและการใช้ยาของคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล สามารถติดตามได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge.php
ที่ผ่านมา โรคโควิด-19ส่งผลให้จำนวนผู้บริจาคโลหิตลดลงกระทบโรงพยาบาลต่างๆ ขาดแคลนโลหิตสะสม มีการเลื่อนผ่าตัดแต่ขณะนี้โรงพยาบาลได้เพิ่มเคสนัดผ่าตัดจาก 25% เป็น 50% ตั้งแต่เดือน ต.ค. เป็นต้นไป จำเป็นต้องใช้โลหิตกับผู้ป่วย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยขอเชิญชวนผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงร่วมบริจาคโลหิตเพื่อสำรองให้กับโรงพยาบาลที่ต้องนัดผ่าตัดรักษาผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ผู้บริจาคช่วง ต.ค.-ธ.ค.จะได้รับเสื้อยืด “BLOOD HERO” ออกแบบโดย SMILEYHOUND BY GREYHOUND ดีไซเนอร์แบรนด์ชั้นนำเมืองไทย บริจาคได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ และ รพ.สาขาเขตกรุงเทพฯ 6 แห่ง รวมถึงภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง การบริจาคโลหิตก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 หากไม่มีอาการอ่อนเพลีย ฉีดวัคซีนได้ในวันถัดไป ไม่ควรบริจาคโลหิตวันเดียวกับวันที่ฉีดวัคซีน ส่วนบริจาคหลังฉีดวัคซีน ควรเว้น 7 วัน หลังฉีด รายละเอียดดูได้ที่ www.blooddonationthai.com หรือโทร.02-2639600
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี