วิกฤตการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในระยะสองปีที่ผ่านมา ทำให้วิถีชีวิตของคนทุกคนเปลี่ยนไป หลายคนไม่ออกจากบ้านไปไหนเลย กลัวแม้กระทั่งการจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลในยามที่ตนเองเจ็บป่วยชนิดที่ไม่รุนแรงมากนัก หรือผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือผู้ป่วยเรื้อรังก็ไม่กล้าไปพบหมอ เพราะกลัวจะติดเชื้อโควิด-19 จากโรงพยาบาล ประกอบกับโรงพยาบาลก็ขอเลื่อนนัดผู้ป่วยที่บาดเจ็บไม่รุนแรง และไม่จำเป็นต้องรีบไปพบคุณหมอ เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล และลดการแพร่กระจายเชื้อ
ในกรณีผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยาเป็นประจำทุกวัน และไม่สามารถขาดยาได้ คุณหมออาจใช้ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เช่น วีดีโอคอล หรือสัมภาษณ์ผู้ป่วยทางโทรศัพท์ หรือบางรายในกรณีที่สามารถควบคุมอาการของโรคได้แล้ว คุณหมอใช้วิธีส่งยาจากโรงพยาบาลไปให้ที่บ้าน หรือแนะนำให้ไปหาซื้อยาจากร้านยาที่น่าเชื่อถือได้มาตรฐาน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือมีผู้ป่วยบางรายเห็นว่าเมื่อไปโรงพยาบาลไม่ได้ ไม่ได้พบหมอ แล้วยาก็หมด บางคนจึงหยุดรับประทานยาไปโดยพลการ เพราะคิดว่าตนเองไม่มีอาการป่วยใดๆ แล้ว โดยลืมความจริงว่าโรคบางโรคไม่แสดงอาการ และไม่ทำให้รู้สึกเจ็บป่วย ตัวอย่างเช่น ไขมันในเส้นเลือดสูง และบางคนเห็นว่า ไปตรวจทุกครั้ง ไขมันและความดันก็อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงคิดว่าไม่ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง จนบางรายคิดว่าตนเองหายเป็นปกติแล้ว ก็จึงหยุดยา แต่ความจริงคือการที่ร่างกายมีความเป็นปกติในระยะหนึ่ง เป็นเพราะฤทธิ์ของยาที่รับประทานเข้าไปช่วยทำให้กลไกการทำงานของร่างกายดูเสมือนว่าปกติ แต่หากขาดยาเป็นระยะเวลานาน จะทำให้อาการไม่ปกติกลับมาได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ดูเสมือนว่าคลี่คลายลงมาก เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงเป็นลำดับ ส่วนกิจกรรมต่างๆ ในสังคมก็เริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นทุกขณะ โรงเรียนหลายแห่งเปิดแล้ว ที่ทำงานก็เปิดให้พนักงานกลับเข้าไปทำงานได้ ห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการตามปกติ รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินก็ให้บริการตามปกติเช่นกัน ถนนหนทางมีปัญหาจราจรติดขัดเหมือนปกติก่อนเกิดปัญหาโควิด-19 ส่วนโรงพยาบาลก็เริ่มนัดให้ผู้ป่วยกลับไปรับการตรวจรักษา
ขอเน้นย้ำว่า สำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ขอให้คุณกลับไปพบคุณหมอตามนัด อย่าคิดว่าตนเองหายป่วยแล้ว อย่าคิดว่าซื้อยามากินเองก็ได้ เพราะที่ผ่านมาหลายเดือนก็ซื้อยามากินเองโดยตลอด ขอย้ำว่าผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังจำเป็นต้องกลับพบคุณหมอ เพราะตรวจวินิจฉัยโรค เพื่อการประเมินอาการ และตรวจหาว่ามีโรคอื่นแทรกซ้อนหรือไม่ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานนอกจากต้องควบคุมระดับน้ำตาลแล้ว ยังต้องตรวจตา ตรวจการทำงานของไต หรือในกรณีมีแผล ก็ต้องตรวจแผลด้วย นอกจากนี้การใช้ยาประเภทที่ต้องติดตามการใช้ยา ต้องดูผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ต้องตรวจการทำงานของตับและไต นี่คือความจำเป็นที่คนไข้ต้องกลับไปพบคุณหมอตามนัด
และเมื่อต้องไปโรงพยาบาล คุณก็ยังต้องรักษาการ์ดของตัวเองเหมือนเดิม คือต้องสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน ต้องรักษาระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร และล้างมือให้สะอาดหลักหยิบจับสิ่งต่างๆ ทุกครั้ง และต้องหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องไปโรงพยาบาลยิ่งต้องเคร่งครัดกับเรื่องดังกล่าวให้มาก เพื่อลดโอกาสสัมผัสเชื้อ
นอกจากนี้ยังต้องทำตามคำสั่งของคุณหมออย่างเคร่งครัด เช่น ต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนพบหมอกี่ชั่วโมง นำยาที่เหลือไปให้คุณหมอดู และต้องบอกความจริงทุกอย่างกับหมอ เช่น ยาหมอให้ไปแล้วนานกี่เดือน หยุดกินยาเองนานกี่เดือน ลืมกินยามาแล้วกี่วัน เพื่อคุณหมอจะได้ประเมินอาการของโรคได้ถูกต้องเที่ยงตรงมากที่สุด และวางแผนรักษาได้เหมาะสมกับอาการ
ผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำเป็นต้องไปพบคุณหมอตามนัดอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์ของตัวผู้ป่วยเอง และเพื่อหมอจะได้ตรวจวินิจฉัยได้ถูกต้อง และหากใครก็ตามที่นิยมซื้อยามารับประทานเอง โดยที่คุณหมอไม่ได้สั่ง ก็ต้องให้ยุติพฤติกรรมดังกล่าวเสีย เพราะร่างกายจำเป็นต้องได้ยาที่เหมาะสมกับอาการของโรคเท่านั้น อย่าคิดเอาเองว่ากินยาตัวเดิมได้ตลอดไป และข้อย้ำทิ้งท้ายว่า ยังต้องยกการ์ดสูงตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยของตัวเราและเพื่อนร่วมสังคม
ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี