การได้รับประทานอาหารรสชาติอร่อยถือว่าเป็นความสุขของหลายๆ คนแต่หากมีอาการกลืนลำบากหลังรับประทานก็คงเกิดความทุกข์ทรมานไม่น้อย ซึ่งนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหลอดอาหารตีบ หากได้รับการรักษาอย่างตรงจุด ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้
นายแพทย์สุขประเสริฐ จุฑากอเกียรติอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารโรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า อาการกลืนลำบากหรือกลืนติด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มโรคใหญ่ๆ ได้แก่ 1.สาเหตุที่รุนแรง เช่น เนื้องอกในหลอดอาหาร มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป อาการจะค่อนข้างรุนแรง และน้ำหนักจะลดลงเรื่อยๆ 2.สาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น หลอดอาหารตีบที่เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว ไม่มีสาเหตุการเกิดแน่ชัด อาการจะค่อยๆ รุนแรงขึ้นจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป กลไกการทำงานของหลอดอาหารจะเริ่มบีบตัวจากส่วนบนลงล่าง โดยตำแหน่งล่างสุดของหลอดอาหารก่อนที่จะต่อเข้ากับกระเพาะอาหาร จะมีหูรูดหลอดอาหารซึ่งทำหน้าที่คล้ายประตูกั้นเขื่อนเพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา ดังนั้น เมื่ออาหารถูกบีบลงมาจนถึงส่วนนี้ หูรูดถึงจะเปิดเพื่อให้อาหารลงไปในกระเพาะ แต่ในกลุ่มที่มีปัญหากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว อาหารจะไม่สามารถลงไปในกระเพาะได้ จึงค้างอยู่ในหลอดอาหารแทน
อาการแสดงของภาวะหลอดอาหารตีบคือ กลืนลำบาก กลืนติด โดยจะเริ่มจากกลืนลำบากเมื่อรับประทานของแข็ง ต่อมาจะเริ่มกลืนลำบากเมื่อรับประทานของเหลวด้วยเช่นกัน ร้ายแรงที่สุดคือไม่สามารถกลืนอาหารหรือน้ำได้เลยโดยจะอาเจียนทุกครั้งที่รับประทานอาหาร ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
การวินิจฉัยภาวะหลอดอาหารตีบไม่สามารถยืนยันได้จากการซักประวัติอาการเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องตรวจอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตรวจส่องกล้องดูหลอดอาหาร, ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร หรือ Manometryซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญในการวินิจฉัย โดยจะแสดงผลเป็นกราฟให้เห็นว่าหลอดอาหารบีบตัวมากน้อยเพียงไร และหูรูดมีการทำงานปกติหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะหลอดตีบที่เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว จะไม่ใช่ภาวะที่รุนแรง แต่สุดท้ายผู้ป่วยจะมีอาการหนักขึ้นจนกระทบกับคุณภาพชีวิตและความสุขในการรับประทาน จึงควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ การรักษาภาวะหลอดอาหารตีบที่เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว แบ่งเป็น 4 วิธี ได้แก่ 1.การฉีดโบท็อกซ์ เพื่อให้กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัว แต่มีฤทธิ์อยู่ได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น 2.การส่องกล้องเพื่อเอาบอลลูนไปขยายหลอดอาหาร แต่การรักษาด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น หลอดอาหารฉีกขาด หรือทะลุ 3.การส่องกล้องเพื่อเจาะอุโมงค์ในหลอดอาหารลงไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ จากนั้นใช้อุปกรณ์กรีดกล้ามเนื้อที่หดรัดตัวให้ขยายออก ซึ่งได้ผลการรักษาที่ถาวรมากกว่าผลการรักษาใกล้เคียงการผ่าตัด แต่เป็นการรักษาด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหาร ไม่มีแผลผ่าตัด และฟื้นตัวเร็ว 4.การผ่าตัดส่องกล้องผ่านทางหน้าท้อง โดยใส่เครื่องมือเข้าไปที่ตำแหน่งกล้ามเนื้อหูรูด จากนั้นใช้อุปกรณ์กรีดกล้ามเนื้อที่หดรัดตัวให้ขยายออก
การรักษากล้ามเนื้อหูรูดแบบส่องกล้องและผ่าตัดส่องกล้อง เพื่อกรีดกล้ามเนื้อที่หดรัดตัวให้ขยายออกจะให้ผลการรักษาที่ถาวรเหมือนกัน โอกาสกลับมาเป็นซ้ำน้อยกว่า 10% เหมือนกันต่างกันที่การรักษาแบบส่องกล้องจะไม่มีแผลที่ร่างกาย การพักฟื้นสั้นกว่า ส่วนการรักษาแบบผ่าตัดส่องกล้องจะมีแผลผ่าตัดเป็นรูเล็กๆ ระยะเวลาการพักฟื้นจึงมากกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี