โขนคือศิลปะการแสดงที่มีองค์ประกอบหลากหลาย ทั้งทัศนศิลป์และประณีตศิลป์ อาทิ หัวโขน ศิราภรณ์ ภัสตราภรณ์ ถนิมพิมพาภรณ์ และงานจิตรกรรม งานทั้งหลายเหล่านี้เมื่อนำไปรวมกัน
ในการแสดงโขน ก็ทำให้เห็นถึงความวิจิตรบรรจงอันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะของไทยได้อย่างสุดวิเศษ
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยไปสนทนากับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงความงดงามของศาสตร์และศิลป์ต่างๆ ที่นำเสนอผ่านโขนของไทย
l อาจารย์ช่วยกรุณาเล่าความเป็นมาของนิทรรศการวิจิตราภรณ์และประณีตศิลป์แห่งโขน ที่จัดแสดงณ หอศิลป์ร่วมสมัย ถนนราชดำเนิน ด้วยครับ
ดร.อนุชา : ขอเรียกว่าเป็นนิทรรศการเฉพาะกิจนะครับ เนื่องจากเราต้องการให้สังคมไม่ลืมว่าโขนของไทยได้รับการยกย่องจากยูเนสโก (องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) เมื่อ 4 ปีก่อน โดยยกให้เป็นมรดกของมนุษยชาติ หรือชื่อเป็นทางการคือ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ แต่หลังจากได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว โลกทั้งโลกรวมถึงไทยก็ประสบกับโควิด-19 ทำให้โขนของไทยไม่สามารถจัดแสดงได้ เนื่องจากการแสดงโขนต้องใช้ตัวแสดงมากมายเป็นร้อยชีวิต และต้องแสดงสดต่อหน้าผู้ชม แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงไม่สามารถจัดแสดงได้ ดังนั้นกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และคณะทำงานส่งเสริมโขนไทยจึงมีความคิดร่วมกันว่าก่อนที่จะถึงเวลาทำรายงานเรื่องโขนให้กับยูเนสโกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้โดยต้องรายงานว่าไทยได้ทำอะไรกับโขนบ้าง โดยเฉพาะประเด็นการทำให้โขนเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่ยังมีการดำเนิน
ต่อไปโดยไม่ขาดตอน ครั้นเราจะจัดแสดงโขนก็ทำไม่ได้เนื่องจากติดปัญหาโควิด-19 ดังนั้นการจัดแสดงนิทรรศการนี้จึงเป็นคำตอบของการทำให้โขนยังคงมีการแสดงออกต่อสาธารณชน เพราะโขนเป็นศิลปะการแสดงที่มีองค์ประกอบหลากหลาย เช่น ทัศนศิลป์ และประณีตศิลป์หลากแขนง เริ่มตั้งแต่หัวโขน หรือศิราภรณ์ ภัสตราภรณ์ อันได้แก่เครื่องแต่งกาย ถนิมพิมพาภรณ์คือเครื่องประดับ แล้วก็ยังมีจิตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานโขน เช่น การปั้นหัวโขน การทำฉากโขน การทำเครื่องประกอบฉาก เป็นต้น ในช่วงที่เราจัดแสดงโขนได้ ก็ใช้การแสดงบนเวทีเป็นหลัก แต่เมื่อเราจัดแสดงโขนไม่ได้ เราก็ยังสามารถนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ของโขนได้ โดยเฉพาะความงดงามของงานช่างสาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแสดงโขน
นี่คือที่มาของนิทรรศการนี้ซึ่งทำให้มีการรวบรวมเอางานศิลป์ต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่มาแสดง เพื่อให้สาธารณชนได้ชมผลงานของครูช่างในสมัยเก่ากับงานศิลป์ของคนรุ่นใหม่ร่วมสมัย โดยเฉพาะงานของคนรุ่นใหม่ที่ผ่านการตีความตามมุมมองของศิลปินยุคปัจจุบัน งานชิ้นต่างๆ ที่จัดแสดงนี้ถือเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เพราะอันที่จริงยังมีงานอีกมากมายแต่เราไม่สามารถนำมาจัดแสดงได้ทั้งหมด เพราะบางชิ้นเป็นสมบัติส่วนบุคคล บางชิ้นเป็นงานที่อยู่ในความครอบครองของหน่วยงานราชการ และสถาบันการศึกษาด้านศิลปะ แต่งานทั้งหมดที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ชมและศิลปินได้พบได้เห็นว่างานแต่ละยุคมีความโดดเด่นอย่างไร มีเอกลักษณ์อย่างไร และเพื่อให้คนกลุ่มต่างๆ ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันด้วย เพื่อที่ทุกคนจะได้มีมุมมองใหม่ๆ และเกิดกำลังใจในการทำงานต่อไป และนำมาซึ่งการต่อยอดของงานศิลป์ชิ้นใหม่ๆ ในประเทศไทย
l สิ่งที่สังเกตได้จากศิราภรณ์ที่นำมาจัดแสดงคือ งานของช่างสมัยเก่ากับงานของช่างสมัยใหม่มีความต่างกันอย่างชัดเจน อาจารย์มีความเห็นอย่างไรกับความต่างของงานช่างแต่ละยุคครับ
ดร.อนุชา : งานโบราณมีความคลาสสิกตามแบบศิลปะไทย เราถือว่าเป็นงานเชิงประเพณี ที่สวยด้วยรูปทรง สวยด้วยเส้นสาย สวยด้วยสีสันต่างๆ จะเห็นชัดเจนว่าครูโบราณท่านเน้นเรื่องรูปทรงมาก อย่าลืมว่าการแสดงโขนคือการสื่อสารระยะไกลระหว่างคนดูกับผู้แสดง ดังนั้นสิ่งที่จะปรากฏก่อนในสายตาของผู้ชมคือการได้เห็นรูปทรง เพราะฉะนั้นงานช่างโบราณจะเน้นรูปทรงอย่างมาก รูปทรงจึงสวยงามมาก ช่างโบราณให้ความสำคัญกับสัดส่วนและสเกลมาก จึงสร้างงานที่ออกมาลงตัว และสร้างงานด้วยใจรัก เราเห็นชัดเจนว่าชฎาของโบราณที่นำมาแสดงนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตเหมือนงานที่เราเห็นในยุคปัจจุบัน นั่นก็แสดงว่าผู้สวมก็น่าจะเป็นเด็กๆ หรือผู้ที่มีอายุไม่น่าจะเกิน 20 ปี เมื่อเทียบกับงานใหม่จะเห็นว่าสเกลต่างกันมาก อาจเป็นเพราะว่าคนสมัยปัจจุบันรูปร่างใหญ่ขึ้น แล้วปัจจุบันเราใช้ผู้ใหญ่ในการแสดง เพราะฉะนั้นสเกลของศิราภรณ์ก็จึงต่างกัน ส่วนรายละเอียดของงานก็ต่างกัน เพราะคนรุ่นเก่าจะสร้างผลงานด้วยความเข้าอกเข้าใจเรื่องลวดลาย และเรื่องจารีตมากเป็นพิเศษ แต่ยุคปัจจุบันงานบางอย่างก็หายไป หรือถูกลดทอนลงไป ดังนั้น การนำงานรุ่นเก่ามาจัดแสดงพร้อมๆ กับงานรุ่นใหม่ ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษารายละเอียดของงานแต่ละยุคได้เป็นอย่างดี
l อาจารย์บอกว่างานของคนรุ่นเก่ามีความประณีตมาก เพราะผู้สร้างงานเข้าใจในตัวงานเป็นอย่างดี และทำทุกอย่างด้วยใจและศรัทธา งานจึงออกมาประณีตมากใช่ไหมครับ
ดร.อนุชา : ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่างานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับประเพณีของไทยในอดีตนั้นช่างผู้สร้างงานมักมีผู้อุปถัมภ์ เช่น อยู่ในราชสำนัก ก็อยู่ในคฤหาสน์ของผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีในสังคมในยุคก่อน จึงมีงบประมาณมากพอกับการเลี้ยงดูและสนับสนุนช่างฝีมือให้ทำงานให้ดีที่สุด งานจึงออกมาด้วยพลังของศิลปะแท้ๆ เพราะช่างไม่ต้องวิตกว่า วันนี้ฉันจะกินอะไร ฉันจะขายได้ไหม ดังนั้นงานทุกชิ้นที่ออกมาจึงแสดงความวิจิตรบรรจงได้มากเป็นพิเศษ เพราะสังคมในยุคเก่ากับยุคปัจจุบันแตกต่างกันมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่างานยุคปัจจุบันจะด้อยค่านะครับ เพราะในยุคไหนๆ ก็ตามศิลปินก็ล้วนทำงานด้วยใจ และใส่ใจกับงานของตนไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นงานในแต่ละยุคที่เรานำมาจัดแสดงจึงต้องการให้ผู้ชมเห็นถึงการต่อยอดและการสืบทอดของช่างสกุลต่างๆ จากรุ่นสู่รุ่นครับ
l ภัสตราภรณ์ของโขนคืองานชิ้นสำคัญของการแสดงโขน ผมเห็นว่ามีการนำชุดของนางกับยักษ์ชั้นสูงมาจัดแสดง เป็นชุดของตัวละครอะไรครับ
ดร.อนุชา : ภัสตราภรณ์ในการแสดงโขนแบ่งเป็นชุดของ พระ นาง ยักษ์ และลิง ส่วนที่นำมาแสดงนี้เป็นงานของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติชุดของยักษ์คือของมังกรกัณฐ์ ลูกของทศกัณฐ์อาจารย์จักรพันธุ์ออกแบบให้กับสำนักสังคีตศิลป์ กรมศิลปากร โดยออกแบบให้พ้องกับชื่อมังกรกัณฐ์ โดยทำศิราภรณ์เป็นหัวมังกร ส่วนลวดลายที่เสื้อทำเป็นเกล็ดมังกร ซึ่งก็คล้ายกับเกล็ดของพญานาคของไทย ส่วนชุดตัวนางก็เป็นชุดของตัวละครที่เป็นตัวนางชั้นสูง ที่มีความงดงามที่สไบและผ้านุ่ง รวมถึงศิราภรณ์
l ในนิทรรศการนี้มีหัวโขนมากมายที่ถูกนำมาแสดง บางหัวดูแล้วเห็นทันทีว่าเก่ามาก บางหัวก็ดูแล้วเห็นว่าเป็นของใหม่ นี่คือการนำมาเปรียบเทียบกันใช่ไหมครับ
ดร.อนุชา : เรื่องหัวโขนเป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักมานานแล้ว จนมีคำเปรียบเปรยต่างๆ จงถอดหัวโขนออกเสีย เป็นต้น หัวโขนเป็นเรื่องที่นับว่าอยู่ใกล้กับคนไทยมาก เพราะหัวโขนหมายถึงการมีตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ ของผู้คน แต่เมื่อหมดหน้าที่ก็ต้องถอดหัวโขนออกส่วนหัวโขนต่างๆ ที่นำมาจัดแสดงนั้น เรามีความคิดคืออยากให้ช่างรุ่นต่างๆ มาเจอะเจอกัน อยากให้เขามาเสวนาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อให้สังคมเห็นตัวตนของช่างในยุคต่างๆ ปกติแล้วช่างจะทำงานอยู่เบื้องหลัง เพราะในการแสดงโขนจริงๆ นั้นจะไม่ได้นำช่างมาร่วมแสดงด้วย คนจึงเห็นแต่งาน แต่ไม่รู้จักช่าง นิทรรศการนี้จึงเป็นการร่วมผลงานของช่างสายสกุลต่างๆ ที่มาจากต่างที่ต่างถิ่นต่างทิศต่างทาง ในอดีตนั้นช่างแต่ละสายสกุลก็อยู่ต่างที่กันไป เช่น ในกรุงเทพชั้นใน บางคนก็อยู่ชานพระนคร บางคนก็อยู่ต่างจังหวัด บางคนอยู่ฝั่งธนฯ บางคนอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีโอกาสได้เจอะเจอกันไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน เพราะในอดีตการติดต่อสื่อสารระหว่างกันทำได้ไม่ง่ายเหมือนยุคปัจจุบัน ดังนั้นช่างแต่ละสายสกุลจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีอัตลักษณ์ของตัวเอง ต่อให้ช่างทำหัวโขนทศกัณฐ์แต่ก็จะมีรายละเอียดต่างกันไปตามสายสกุลช่าง รายละเอียดจะต่างกัน ทรวดทรง สีสัน ลวดลายจะต่างกัน วัตถุดิบที่ใช้ก็ต่างกัน เป็นสูตรเฉพาะตัว มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวแต่ละสายสกุลจะสืบทอดเอกลักษณ์ของตนเองไว้ตามขนบประเพณีของตน
นี่คือเสน่ห์ของงานช่างในอดีต แต่โลกยุคปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกและง่ายดาย ช่างสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ง่าย แต่ช่างรุ่นใหม่ก็ยังพยายามจะสร้างอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของตนเอง บางอย่างก็ต่างไปจากอดีตมาก ซึ่งก็ต้องเปิดใจให้กว้าง และยอมรับการตีความของช่างรุ่นใหม่ด้วย แน่นอนว่าโขนเป็นเรื่องของศิลปะขนบ ประเพณี แต่งานศิลป์ต้องมีพื้นที่ให้งานศิลปะเบ่งบานและเติบโตต่อไป เมื่อมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาถ้าสามารถยอมรับได้ เพราะเป็นการเปิดมุมมองของช่างเราก็ควรจะอนุญาตให้มีงานศิลป์ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ อย่างเช่น โขนรามเกียรติ์ในบางตอนอาจจะไม่เคยนำมาแสดง แต่หากมีการนำมาแสดง
โดยผ่านการคิดใหม่ๆสร้างสิ่งใหม่ๆ ก็ต้องอนุญาตให้มีการแสดงได้ เราต้องให้พื้นที่กับช่างศิลป์ เพราะช่างเหมือนเด็กที่ซุกซนช่างคิด ดังนั้นอย่าปิดกั้นความคิดของช่าง ตัวอย่างเช่นศีรษะโขน คือศีรษะกุมภกรรณชิ้นนี้เป็นกุมภกรรณหน้าทอง ซึ่งผิดไปจากจารีต เพราะกุมภกรรณต้องหน้าสีเขียว แต่สำหรับหัวโขนชิ้นนี้เรารู้แน่ว่าเป็นกุมภกรรณ เพราะว่ามีหน้าที่ด้านหลังอีก 3 หน้า ยักษ์ที่จะมี 4 หน้าได้ ก็มีแต่กุมภกรรณเท่านั้น ซึ่งเป็นหัวยักษ์แบบหัวโล้นไม่มีชฎา ช่างที่ประดิษฐ์หัวโขนนี้ก็ช่างแผลงทำให้กุมภกรรณหน้าเป็นสีทองเพื่อความแตกต่างในเวลาแสดงบนเวที ขณะเดียวกันก็ใช้วัสดุที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนก็คือโลหะ หัวโขนชิ้นนี้ทำจากทองแดง เป็นของเก่าอายุ 135 ปีแล้ว นี่คือนวัตกรรมของช่างเมื่อ 100 กว่าปีก่อน
ซึ่งปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าเป็นงานชิ้นเอก ที่ปัจจุบันไม่สามารถทำเลียนแบบได้ เพราะเป็นงานของสกุลช่างที่สูญหายไปจากสังคมไทยแล้ว งานชิ้นนี้มีรายละเอียดมากมาย ที่ช่างปัจจุบันต้องกลับไปศึกษา เรายืมงานชิ้นนี้มาจากพิพิธภัณฑ์ในวัดพระแก้วเชียงราย งานชิ้นนี้เป็นงานชุดเดียวกับที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งมีอยู่ 3-4 หัวเป็นของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง สร้างขึ้นเมื่อจุลศักราช 1249 เป็นทองแดงสลักดุล ไม่ใช่งานหล่อด้วย คือสลักดุลด้วยมือทั้งศีรษะ ปัจจุบันคงทำงานแบบนี้ไม่ได้แล้ว นี่คืองานโบราณ ส่วนช่างปัจจุบันก็ใช้วิธีหล่อเป็นพิมพ์ขึ้นมา แล้วนำไปเป็นแบบในการทำหัวโขนต่อไป ซึ่งทำได้รวดเร็วกว่าเดิม ก็นับเป็นงานของแต่ละยุคส่วนจะได้รับความนิยมหรือไม่ ก็ต้องดูกันต่อไป
ยิ่งปัจจุบันมีวัสดุใหม่มากมาย บางคนใช้เรซินแทนกระดาษบางคนใช้ปะเก็นแทนหนังสัตว์ ใช้สีโป๊แทนยางรัก ถือเป็นการคิดตามวิธีใหม่ๆ แต่จะได้รับความนิยมหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป เรามีหน้าที่เพียงแค่ให้นำงานในอดีตมาเทียบเคียงกันงานปัจจุบัน แล้วดูว่าอะไรที่ควรรักษาไว้ก็รักษาให้คงอยู่ต่อไป เช่น การทำสมุดรักจากถ่านใบตองแห่งเผาไฟ เมื่อได้ถ่านแล้วก็ผสมกับยางรัก นี่คือสูตรเฉพาะ ก็ยังคงมีผู้รักษางานเช่นนี้ไว้ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของงานทำหัวโขน เพราะมีทั้งสายอนุรักษ์ และสายที่คิดค้นสิ่งใหม่ๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วหัวโขนที่ทำออกมาต้องสามารถใช้ได้จริง ปลอดภัย และคงทนถาวรในระดับหนึ่ง
l น่าสนใจมากนะครับ ที่เรายังมีสายอนุรักษ์และสายประยุกต์ในการผลิตหัวโขน ผมมีคำถามว่าเราจะทำอย่างไรให้มีการสืบสาน ต่อยอด งานสกุลช่างแบบโบราณไว้ต่อไปครับ
ดร.อนุชา : เท่าที่ทราบคือสถาบันการศึกษาที่สอนเรื่องนี้มีส่วนสำคัญในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ๆ ให้เรียนรู้และสืบสานงานช่างแบบโบราณครับ เช่น วิทยาลัยเพาะช่าง และวิทยาลัยในวังสำหรับผลิตช่างชายที่สอนการผลิตหัวโขนทั้งในแนวประเพณี และแนวสร้างสรรค์ครับ ส่วนตัวผมนั้น ไม่วิตกเรื่องการอนุรักษ์ เพราะบ้านเรามีช่างที่รักษาแนวอนุรักษ์แล้วขณะเดียวกันก็มีช่างแนวประยุกต์ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะจะได้มีของใหม่ๆ ออกมา ควบคู่ไปกับการรักษางานดั่งเดิมแบบขนบประเพณีเอาไว้ แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการตีความงานศิลป์ ผมคิดว่าการตีความแบบใหม่ๆเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเป็นทางแห่งการอยู่รอดของงานศิลป์ ถ้าหากเราเอาทุกอย่างไปแช่แข็งไว้ผมเห็นว่างานศิลปะจะไม่เบ่งบาน แล้ววัฒนธรรมก็จะตายไป คำว่าวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้น มันจำเป็นต้องมีชีวิต มันต้องอยู่กับคนให้ได้ มันต้องมีพลวัตรมีความต่อเนื่องต่อไป ถ้าเราจับทุกอย่างขังกรงไว้ผมคิดว่ามันจะตายลงอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ผมถึงพูดตลอดเวลาว่า ช่างต้องมีพื้นที่เพื่อให้เขาได้สร้างงานศิลป์ใหม่ๆ มีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาขนบประเพณีไว้ด้วยครับ
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตี ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2และชมรายการย้อนหลัง ได้ที่YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี