ประเทศที่เจริญแล้วมีระบบขนส่งทางรางใช้กันทุกแห่ง เพราะเป็นการขนส่งมวลชนที่ได้มาตรฐาน สะดวก ประหยัด รักษาสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัยสูง และที่สำคัญคือช่วยให้ขนส่งผู้คนและสินค้าได้ครั้งละจำนวนมาก
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยนำคุณไปสนทนาถึงความสำคัญและความจำเป็นของระบบการขนส่งทางรางกับ ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์อธิบดีกรมการขนส่งทางราง
ตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงนำระบบการขนส่งทางรางจากยุโรปเข้ามาในสยาม และในเอเชียเป็นประเทศแรกๆ แต่สุดท้ายแล้วระบบการขนส่งทางรางในบ้านเรากลับพัฒนาได้แบบลุ่มๆ ดอนๆ เรียนถามอธิบดีกรมรางฯ ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดครับ
ดร.พิเชฐ : คนไทยรู้จักรถไฟมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วจริงๆ อย่างที่อาจารย์กล่าวไว้ คือเมื่อประมาณ 130 ปีที่แล้ว เมื่อบ้านเรามีรถไฟใช้ก็ส่งผลให้ความเจริญกระจายไปยังหัวเมืองต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม การคมนาคมติดต่อก็รวดเร็วขึ้น การค้าขายก็ขยายตัวมากขึ้น หัวเมืองต่างๆ พัฒนามากขึ้น นี่คือข้อเท็จจริง ครั้นต่อมาในยุคย้อนหลังไป 60-70 ปีที่แล้ว ก็จะเห็นว่ามีการเดินทางด้วยรถไฟมากขึ้น ผู้คนจากต่างจังหวัดเข้าสู่พระนครด้วยรถไฟ บ้างเข้ามาทำงาน บ้างเข้ามาเรียนหนังสือ บ้างเข้ามาค้าขาย คนเจ็บป่วยก็นั่งรถไฟเข้ามาหาหมอในโรงพยาบาลใหญ่ๆในกรุงเทพฯ ก็นับว่าสะดวกมากขึ้นในระดับหนึ่ง แต่เผอิญว่าในช่วงประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา ได้มีการตัดถนนหนทางมากขึ้น การเดินทางด้วยรถยนต์ก็จึงเข้ามาทดแทนการเดินทางด้วยรถไฟ และเรือ ผู้คนชื่นชมการเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่า เพราะเห็นว่าสะดวกและรวดเร็วกว่า จึงหันไปใช้รถยนต์กันมาก แต่สุดท้ายเมืองคนมากขึ้น รถยนต์มากขึ้น แต่ถนนหนทางไม่ได้เพิ่มมากตามจำนวนรถยนต์ ก็เกิดปัญหาจราจรติดขัด โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ คนไทยจึงเริ่มเห็นปัญหา ดังที่เราซึ่งอยู่ในเมืองใหญ่ต่างเคยประสบปัญหามาแล้ว คือรถติดหนักมาก ต้องอยู่บนถนนวันละ 5-6 ชั่วโมง เกือบจะกินและนอน รวมถึงขับถ่ายบนรถยนต์ แล้วไม่ว่าทางการจะพยายามสร้างถนนให้มากขึ้น แต่ก็ไม่ทันกับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาวิกฤตจราจรจึงสาหัสขึ้นเป็นลำดับ จึงนำไปสู่การหันกลับไปคิดถึงการแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้ระบบการขนส่งทางราง เราได้เห็นแนวทางแก้ปัญหาในประเทศที่มีวิกฤตจราจรหนักมากๆ ก็เห็นว่าเขาเลือกใช้การขนส่งด้วยระบบรางเพื่อเป็นทางออกของปัญหา แล้วปัญหาก็ถูกบรรเทาลงได้อย่างเห็นได้ชัดอย่างที่ผมได้เรียนในช่วงต้นคือบ้านเรามีรถไฟใช้มานานถึง 130 ปีมาแล้ว และคนในกรุงเทพฯก็เคยมีรถรางใช้มาเมื่อเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา มาล่าสุดคนในกรุงเทพฯมีระบบขนส่งทางรางใช้มากขึ้น โดยเริ่มมีรถไฟฟ้าสายแรกเมื่อปี 2542 คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวคนที่คุ้นเคยกับการใช้รถไฟฟ้าก็ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตจราจรเหมือนก่อนจะมีรถไฟฟ้าใช้ ยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับรถไฟฟ้า มีชีวิตอยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนมากนักกับวิกฤตจราจรบนท้องถนน เราเห็นแนวทางการพัฒนาเมือง พัฒนาประเทศด้วยระบบการขนส่งทางรางในประเทศที่พัฒนาแล้ว ผมมั่นใจว่าประเทศไทยจะเดินทางไปตามแนวนั้นในอนาคตอันใกล้
l นโยบายเรื่องระบบการขนส่งทางรางในบ้านเราคงเส้นคงวามากน้อยแค่ไหนครับ เพราะหลายคนสงสัยมาก
ดร.พิเชฐ : ขอเรียนว่าที่ผ่านมานั้นนโยบายเรื่องระบบการขนส่งทางรางไม่เคยเปลี่ยนครับ เพราะเป็นทางออกของปัญหาที่รัฐบาลเห็นชัดเจน ดังนั้นรัฐบาลทุกชุดจึงมีนโยบายตรงกันเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และพัฒนารถไฟความเร็วสูง และเรื่องนี้ได้ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นชัดมาแล้วจากประเทศที่พัฒนาแล้วทุกประเทศ ไม่ว่าจะในยุโรปตะวันตกและในเอเชีย และผมสามารถกล่าวได้ว่าในระยะ 10 ปีมานี้ ประเทศไทยมีการพัฒนาระบบขนส่งทางรางมากที่สุด และก้าวหน้ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ล่าสุดเรามีรถไฟฟ้าเปิดใช้แล้วหลายสาย และกำลังจะเปิดใช้ในอนาคตอ้นใกล้อีกหลายสาย คนที่เข้าถึงระบบการขนส่งด้วยรถไฟฟ้าต่างมีความสุขกับการเดินทางในชีวิตประจำวันมากกว่าเดิม ตอนนี้เรามีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีแดง และมีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปชานเมืองและจังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ และในอีกไม่กี่เดือนจากนี้ไปก็จะมีการเปิดทดลองระบบรถไฟฟ้าแบบโมโนเรล สายสีชมพูกับสีเหลือง ส่วนรถไฟรางคู่ที่เราดำเนินการมาก็กำลังจะเปิดให้บริการให้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน ล่าสุดเรามีทางรถไฟรางคู่ประมาณ 1 พันกว่ากิโลเมตร ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เห็นพัฒนาการเรื่องนี้บอกตรงกันว่าระบบรางของไทยพัฒนาไปได้อย่างมากในระยะ 10 ปีนี้ ที่เห็นชัดๆ คือทางคู่บางช่วงเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว เช่น จากหัวหินไปประจวบคีรีขันธ์ แล้วต่อไปชุมพร ส่วนเส้นทางสายเหนือจากลพบุรีก็กำลังดำเนินไป แต่ติดขัดปัญหาการก่อสร้างที่บริเวณพระปรางค์สามยอดกับศาลพระกาฬเราจึงเลี่ยงเมืองไปเป็นลพบุรีถึงปากน้ำโพ ล่าสุดสร้างถึงปากน้ำโพแล้ว ส่วนสายอีสานไปถึงขอนแก่น โดยเริ่มจากนครราชสีมาไปขอนแก่นก็เสร็จแล้ว แยกจากนครราชสีมาเข้าไปที่สระบุรี เชื่อมที่คลอง 19 และบริเวณแก่งคอยก็เสร็จแล้ว แต่มีส่วนติดขัดบ้างที่ช่วงมาบกระเบาไปนครราชสีมา โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านภูเขาหินปูนที่มีโรงงานปูนมากมาย ก็กำลังจะสร้างอุโมงค์ ต้องเรียนให้ทราบว่ามีความคืบหน้าของโครงการอย่างมาก ในปีหน้านี้ ประชาชนจะเริ่มได้ใช้ระบบรถไฟทางคู่แล้ว จะมีการขนส่งสินค้าต่างๆ จากภาคหนึ่งไปยังอีกภาคหนึ่ง ประชาชนจะสามารถเดินทางด้วยรถไฟทางคู่ได้จริงๆ และได้ใช้รถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทางคือกรุงเทพฯไปนครราชสีมา และในอีก 4-5 ปี ก็จะได้ใช้รถไฟเชื่อมสามสนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา นี่คือความสำเร็จของระบบรางที่จะเปิดให้ใช้ในอนาคตอันใกล้ครับ
l มีเสียงบ่นจากคนบางกลุ่มว่า ค่าใช้บริการระบบรางของเราแพง จะชี้แจงอย่างไรครับ
ดร.พิเชฐ : ใช่ครับผมก็ได้ยินเสียงบ่นดังที่ว่า แต่ก็ต้องขอถามว่า ที่บอกว่าแพงนั้น เทียบกับการเดินทางชนิดไหน เพราะประชาชนแต่ละคนมีการเปรียบเทียบต่างกัน ผมยกตัวอย่างเช่น การเดินทางจากกรุงเทพฯไปนครราชสีมาด้วยรถไฟ ด้วยรถโดยสารประจำทาง ด้วยรถตู้ประจำทาง ส่วนเครื่องบินไม่มีบินจากกรุงเทพฯไปนครราชสีมา สมมุติว่าถ้าเปิดใช้รถไฟความเร็วสูงชั้นธรรมดาจากกรุงเทพฯไปนครราชสีมาใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 29 นาที 38 วินาที ค่าโดยสารประมาณ 500 บาท แต่ถ้านั่งรถตู้เสียค่าโดยสารประมาณ 300 กว่าบาท ระยะเวลาการเดินทางก็ต่างกันไป ความสะดวก และความปลอดภัยก็ต่างกันอีก นี่คือสิ่งที่ต้องนำมาเปรียบเทียบกันในการเดินทางแต่ละครั้งเพราะฉะนั้นต้องมาดูว่าค่าโดยสารอะไรถูกหรือแพงกว่ากัน แล้วก็ต้องเปรียบเทียบกับทุกประเด็นในการเดินทางด้วย ขออนุญาตชี้แจงเรื่องการคิดค่าโดยสารของระบบ Mass Transit บนโลกใบนี้นะครับ มีทั้งหมดสามแบบคือ แบบ flat rate คือคิดเท่ากันราคาเดียวตลอดสาย นั่งไกลหรือใกล้ ก็คิดราคาเดียวกัน แบบนี้ใช้ในประเทศจีน เช่นคิด 3 หยวน สำหรับรถไฟในเมืองและชานเมือง แบบที่สองคือ distance rate คิดตามระยะทางที่โดยสาร นั่งใกล้จ่ายค่าโดยสารถูกกว่านั่งไกล ซึ่งเราใช้แบบนี้ในบ้านของเรา ส่วนการคิดแบบที่สามคือ zoning คิดตามโซนที่โดยสาร เช่น ในอังกฤษ และในฝรั่งเศส คิดแบบ zoning โดยถือหลักว่าคนในเมืองหลวง หรือเมืองชั้นในมีรายได้ดีกว่าคนที่อยู่ตามขอบๆ เมืองหรือเมืองชั้นนอก เพราะฉะนั้นค่าโดยสารในเมืองจึงมีราคาแพงกว่านอกเมือง ดังนั้นการคิดค่าโดยสารก็จะพิจารณาจากสามรูปแบบที่กล่าวมานี้ แต่สำหรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าในบ้านเรา โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและรอบๆ กรุงเทพฯนั้นเราคิดตามระยะทาง แต่ก็มีตั๋วโดยสารให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้โดยสาร เช่น ตั๋วเหมา 1 วัน ตั๋วเดือนแบบต่างๆ ที่คิดตามจำนวนเที่ยวที่ใช้เดินทาง เช่น 20, 25, 30, 40, 50 เที่ยวเป็นต้น และยังมีตั๋วนักเรียน ตั๋วผู้สูงอายุ อีกด้วย ราคาค่าโดยสารที่จ่ายจะต่างกันไปยิ่งซื้อจำนวนเที่ยวมากๆ ก็ยิ่งมีราคาค่าโดยสารถูกลง
l เรียนถามอธิบดีถึงการลงทุนก่อสร้างระบบรางในบ้านเรา มีกี่แบบครับ
ดร.พิเชฐ : ผมขอเล่าให้ฟังแบบคร่าวๆ นะครับว่ามีดังนี้ คือเอกชนลงทุนทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ และแบบที่รัฐบาลลงทุนให้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ และแบบที่รัฐบาลให้การอุดหนุนโครงการบางอย่าง แล้วให้เอกชนไปลงทุนทำต่อ เรามาดูตัวอย่างกันครับ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียว เอกชนลงทุน 100 เปอร์เซ็นต์ โดยรัฐบาลให้อายุสัญญาสัมปทาน แล้วเอกชนไปดำเนินการต่อ เช่น รัฐบาลให้สัมปทาน 30 ปี เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลก็ต้องดูด้วยว่า เอกชนสามารถทำกิจการได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ หากไม่รอด ก็ต้องเข้าไปสนับสนุนในบางเรื่อง เพื่อให้กิจการเดินต่อไปได้
ส่วนแบบที่รัฐบาลลงทุนบางส่วนแล้วให้เอกชนร่วมทำกิจการด้วยกัน เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รัฐบาลลงทุนให้ ซึ่งเป็นการอุดหนุนทางอ้อม โดยลงทุนด้านโยธา โดยถ้าแบ่งให้เห็นชัดคือ 70 เปอร์เซ็นต์เป็นงานโครงสร้างพื้นฐาน และส่วนที่เหลือเป็นเรื่องระบบที่เอกชนต้องรับผิดชอบ แล้วก็ดำเนินกิจการไปส่วนอีกแบบคือรัฐบาลลงทุน 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น รถไฟฟ้าสายสีแดง รัฐบาลก่อสร้างระบบเอง ซื้อรถมาวิ่งให้บริการ และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ในรูปแบบบริษัท SRTET (SRT Electified Train) ดำเนินการจัดวิ่งรถ จะเห็นได้ว่าในบ้านเรานั้นใช้หลายรูปแบบในการจัดการเดินรถไฟฟ้า โดยดูตามความเหมาะสมกับแต่ละโครงการ สำหรับส่วนตัวผมนั้น ผมมั่นใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ระบบการขนส่งทางรางจะดีขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า ประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายมากกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อทางรถไฟทางคู่เสร็จเรียบร้อย จะทำให้การเดินทางของประชาชนสะดวกมากขึ้น การขนส่งสินค้าจะสะดวกมากขึ้น ราคาค่าบริการจะถูกลง สินค้าต่างๆ จะถูกส่งไปยังปลายทางได้รวดเร็วขึ้น ต้นทุนการขนส่งจะถูกลง ปัญหาค่าบริการด้วยรถยนต์ที่ต้องใช้น้ำมันดีเซลที่มีราคาแพงจะลดลงไป ประชาชนจะค้าขายกันได้มากขึ้น ค่าสินค้าจะถูกลง เพราะต้นทุนการขนส่งถูกลง ราคาสินค้าจะถูกลงด้วย ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และรอบๆ กรุงเทพฯ ที่มีรถไฟฟ้าให้บริการ ก็จะสะดวกสบายมากขึ้น ค่าบริการจะถูกลงเมื่อมีผู้ใช้บริการมากขึ้น แล้วถ้ายิ่งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูเสร็จเรียบร้อย ก็จะยิ่งทำให้การเดินทางสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
l ในกรุงเทพฯ และรอบๆ กรุงเทพฯ จะมีความยาวของระบบรถไฟฟ้ารวมทั้งหมดกี่กิโลเมตรครับ
ดร.พิเชฐ : ทั้งหมดประมาณ 500 กว่ากิโลเมตรครับ ระยะทางเฉลี่ย 1 กิโลเมตรต่อหนึ่งสถานี เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง และเพื่อสามารถคำนวณระยะเวลาการเดินทางไปแม่นยำยิ่งขึ้น โดยคิดจากการให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางจากที่พักไปถึงสถานีได้ในระยะเวลาประมาณ 10 นาที ล่าสุดการก่อสร้างทั้งระบบเสร็จสิ้นไปแล้วประมาณเกือบๆ 50 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เรากำลังทำต่อไปคือสร้างระบบลำเลียงผู้โดยสารไปยังสถานีต่างๆ ให้สะดวกและรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าสู่ระบบได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าผู้คนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และชานเมืองกรุงเทพฯ ที่ใช้บริการรถไฟฟ้าเป็นประจำจะคุ้นเคยกับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นอย่างมาก หลายคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เดินทางสะดวกสบายขึ้น ชีวิตปลอดภัยมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายจากการเดินทางได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย และมีชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องติดอยู่บนถนนเป็นเวลานานๆ แล้วที่สำคัญคือมีส่วนช่วยลดมลพิษทางอากาศได้มาก เพราะไม่ต้องใช้รถยนต์ที่ต้องเติมด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ สร้างฝุ่นควันพิษ และ PM2.5
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตี ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี