พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมี วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส., รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดี อส., จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวง ทส., จิระพงษ์ คูหากาญจน์ ผอ.สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, สุกันฑ์ พึ่งกุล ผอ.ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภาคป่าไม้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมในพิธี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ระหว่างกรมป่าไม้ (ปม.) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. และ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อผลักดันกลไกนำป่าชุมชนและพื้นที่ป่าอื่นๆ ของ ทส. ขึ้นทะเบียนภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) สู่การปฏิบัติจริงพร้อมเชื่อมพลังไตรภาคี รัฐ เอกชน และชุมชนช่วยกันดูแลผืนป่าไทยให้อุดมสมบูรณ์ สร้างรายได้กลับคืนให้ชุมชนจากการขายคาร์บอนเครดิต โดยมี วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส., จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวง ทส. เป็นสักขีพยาน และยังมีผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท PwC ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจจำกัด (มหาชน) และชาวบ้านเครือข่ายป่าชุมชนต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เข้าร่วม ณ กระทรวง ทส. ภายในงานยังมีกิจกรรมทั้งปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสืบสานพระราชดำริ” และเวทีเสวนาป่าแห่งชีวิต สืบสานงานพระพันปีในหัวข้อ ปลูกคน ปลูกป่า 50 ปี บทบาทของป่าในการช่วยชาติ เศรษฐกิจ สังคมและบทบาทของภาคเอกชนในการสนับสนุนการปลูกป่าและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส., ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และชาวบ้านป่าชุมชน
วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. กล่าวว่าทส.เล็งเห็นว่าบทบาทของภาคป่าไม้สำคัญต่อการรับมือต่อเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปัจจุบัน เนื่องจากป่าไม้เป็นแหล่งสะสมคาร์บอนขนาดใหญ่ของโลกคาร์บอนที่สะสมอยู่นั้นมีปริมาณมากกว่าในบรรยากาศถึง 3.5 เท่า การอนุรักษ์และปลูกป่าจึงเป็นกลไกสำคัญในการช่วยกักเก็บคาร์บอนบรรเทาความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปม., อส., และทช. ได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนสนับสนุนการปลูกป่าในพื้นที่ของรัฐโดยผ่านกลไกคาร์บอนเครดิต เพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ นอกจากนี้ ทส.ยังได้จัดตั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย หรือ Thailand Carbon Neutral Network :TCNN เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในประเทศในการไปถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutralityซึ่งทางเครือข่าย TCNN จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการปลูกต้นไม้หรือปลูกป่าในขอบเขตขององค์กรเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร และยังเป็นการเพิ่มความต้องการคาร์บอนเครดิตในประเภทโครงการภาคป่าไม้มากขึ้น สำหรับนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรภาคธุรกิจ”
ชาวบ้านกับภาคเอกชนและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่ามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในฐานะที่ปรึกษาและดำเนินงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 กรม ของ ทส.จะเข้าไปช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนดูแลรักษาป่าของตนเองเพื่อให้เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีคุณภาพ สนับสนุนการจัดทำระบบการประเมินการกักเก็บคาร์บอน (คาร์บอนเครดิต) ภาคป่าไม้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืนในลักษณะเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนผ่านการให้คำปรึกษาและบริหารจัดการงบประมาณสำหรับดำเนินงานโดยมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนซึ่งถือเป็นการเตรียม ความพร้อมสำหรับความต้องการคาร์บอนเครดิตของภาคเอกชนเองในอนาคต เมื่อมีการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคธุรกิจโดยเฉพาะเมื่อคาร์บอนเครดิตจากภาคป่าไม้ที่ให้ผลประโยชน์ร่วมต่อระบบนิเวศ (Co-benefitsfor naturalecosystems) และมีปริมาณจำกัด
วงเสวนากับภาคเอกชนเรื่องคาร์บอนเครดิต
“ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในและต่างประเทศ การสร้างรายได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลป่าเป็นจุดที่เรามีความชำนาญเป็นอย่างมาก เมื่อโลกเข้าสู่วิกฤตเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง มูลนิธิฯ จึงต้องการนำความรู้ความเชี่ยวชาญที่มีมาร่วมมือกับภาครัฐผ่าน ทส. ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและป่าอย่างยั่งยืน โดยหวังกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเล็งเห็นความสำคัญของการทำธุรกิจที่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมน้อยลงสร้างกระบวนการดูแลรักษาธรรมชาติเพื่อสร้างประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชนและภาครัฐการสร้างรายได้จากการดูแลป่าเพื่อขายคาร์บอนเครดิตจะเป็นอาชีพใหม่ที่ปรับโมเดลจากการทำลายธรรมชาติ การทำลายป่าไม้เพื่อความอยู่รอด มาสู่การรักษาและพื้นฟูธรรมชาติและมีรายได้อย่างเพียงพอแทนภายใต้กรอบการทำงานใหม่นี้ทุกคนจะมีส่วนในการช่วยส่งต่อโลกนี้ที่ดีขึ้นและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับลูกกับหลานเราต่อไปด้วย”
ชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านและประธานป่าชุมชนบ้านต้นผึ้ง อ.ดอยสะเก็ต จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญและได้ดำเนินงานเรื่องการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้กับป่าชุมชนทั่วประเทศไทยมาแล้วกว่า 33,557 ไร่โดยเป็นการทำงานร่วมสำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ และป่ากับชุนชน 32 แห่ง ใน จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.พะเยามีประชาชนได้รับประโยชน์จำนวน 18,700 คนมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการที่ขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER กับทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแล้ว 15 แห่ง พื้นที่ตามพ.ร.บ. 19,367 ไร่ แต่พื้นที่ที่ขึ้นทะเบียน T-VERได้ 18,479 ไร่ คิดเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิต 7,798 ตัน รวม 7,798 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ป่าชุมชนสำหรับผลิตคาร์บอนเครดิต
ความร่วมมือในบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ คาดว่าจะเกิดความร่วมกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกกว่า 1,000,000 ไร่ จากพื้นที่ป่าที่อยู่ในการดูแลของทั้ง 3 กรม ส่งผลให้มีประชาชนได้รับประโยชน์อีกกว่า 1,100 ชุมชน และมีปริมาณคาร์บอนเครดิตรวม 300,000-500,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี บรรลุเป้าหมายของโครงการ ที่จะเข้าไปพัฒนาทั้งการเพิ่มพื้นที่ป่าและสร้างสังคมให้คนในพื้นที่สามารถอยู่ร่วมกับป่าและมีอาชีพได้อย่างยั่งยืน หน่วยงานและบุคคลที่สนใจสนับสนุนโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 092-4956965 Email : decarbonization@doitung.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี