ในขณะที่โลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคม ภาคธุรกิจไม่เพียงมีความรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้นแต่ยังมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนอนาคตเพื่อความยั่งยืนของทุกคนบนโลกนี้ด้วย นอกจากผนึกกำลังกันจัดงานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียนSustainability Expo 2022 แล้ว ซีอีโอจากทั้ง 5 ของบริษัทชั้่นนำ ได้แก่ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้มารวมตัวกันบนเวทีเสวนาในหัวข้อ Leading Sustainable Business เพื่อเปิดกลยุทธ์องค์กรด้านความยั่งยืน พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความท้าทาย และเส้นทางเพื่อความอยู่รอดของโลกทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ ซีพี กล่าวว่า การที่องค์กรจะดำเนินกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนได้ ต้องเริ่มจากผู้นำองค์กรไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่จะต้องตระหนักรู้ว่า ขณะนี้ทุกคนกำลังเผชิญกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนจริงๆ และเป็นปัญหาของโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอัตราเร่ง เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆนำไปสู่การบริโภคที่ดึงทรัพยากรของโลกและก่อให้เกิดมลภาวะ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือปัญหาขยะจำนวนมหาศาล ทุกวันนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนมีการพัฒนาเศรษฐกิจกันอย่างเต็มที่ และถูกขับเคลื่อนออกมาในเชิงบริโภคนิยม โดยไม่ตระหนักว่าของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต และทำลายทรัพยากรจากการบริโภคนั้นสร้างผลกระทบในวงกว้างขนาดไหน ฉะนั้นถ้าหากทุกคนมีแต่เป้าหมายในชีวิตของตัวเอง มีแต่เป้าหมายขององค์กร แต่ไม่เคยตั้งเป้าหมายความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนของโลกและต่อตัวเราเอง โลกก็จะไม่ยั่งยืน องค์กรจึงควรมีการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานด้านความยั่งยืน สร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร พนักงาน รวมไปถึงคู่ค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน มีการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนขององค์กร มีการส่งเสริมให้การยอมรับและมอบผลตอบแทนแก่พนักงานรวมทั้งครอบครัวของพนักงานทุกคนที่ทำงานเพื่อความยั่งยืนอย่างจริงจัง รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนการดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวก สร้างนวัตกรรม และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร “ซีพีตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 10 ปี บริษัทจะผงาดอยู่ใน20 อันดับแรกของโลกในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็น 1 ใน 10 ของโลกด้านความยั่งยืนด้วย เพราะผมเชื่อมั่นว่าบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยการมีวัตถุประสงค์ที่ดีต่อส่วนรวมจะเป็นองค์กรที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง”
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในอดีตเคยคิดเพียงว่าจัดการปัญหาภายในองค์กรได้ก็ถือว่าทำสำเร็จแล้ว แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่องค์กรไม่แสวงหากำไรและคู่ค้าธุรกิจอยากเห็น คือบริษัทมีการดูแลปัญหาไปจนถึงซับพลายเชน ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำดังนั้นไทยยูเนี่ยนต้องทำงานใกล้ชิดกับทั้งฝ่ายรัฐบาล คู่ค้าที่ขายวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นเรือประมงทั้งหลาย เกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งในฟาร์ม รวมไปถึงการจัดหาจัดจ้างแรงงานโดยตรงจากต่างประเทศด้วย ไม่เพียงแต่แรงงานภายในองค์กรเท่านั้น ไทยยูเนี่ยนยังมีจรรยาบรรณทางธุรกิจที่กำหนดให้คู่ค้าทุกรายในระบบต้องปฏิบัติต่อแรงงานทุกคนอย่างถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม มีมาตรการในการจัดซื้อวัตถุดิบที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Responsible Sourcing) มีการตรวจสอบการจัดการเรือประมงทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมไปถึงการบริหารจัดการฟาร์มที่เป็นคู่ค้าของบริษัทด้วยสำหรับธุรกิจของไทยยูเนี่ยน การดำเนินการด้านความยั่งยืนถือเป็นใบอนุญาตในการทำงาน เพราะเป็นความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นนักลงทุน คู่ค้าทุกส่วนที่ต้องการเห็นการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ทุกวันนี้คู่ค้าธุรกิจต้องการค้าขายกับบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน บริษัทที่ไม่ใส่ใจด้านนี้ก็จะไม่สามารถทำธุรกิจได้ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจโดยเฉพาะในประเทศไทย ผมอยากให้มองว่าเรื่องความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัว การทำเรื่องนี้ไม่ใช่ทำเพื่อความอยู่รอดของโลกเท่านั้น แต่เป็นความอยู่รอดของตัวเราเองและของธุรกิจเราด้วย ผมเชื่อว่าการทำเรื่องความยั่งยืนจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้ในอนาคต”
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “การดำเนินการเรื่องความยั่งยืนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่มีความไม่แน่นอนสูง เพราะสภาวการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การดำเนินธุรกิจเพื่อลดโลกร้อนจึงควรเริ่มที่คำถามว่า “ทำไม” และสร้างแนวทางที่ส่งผลกระทบด้านบวกให้มากที่สุด เพื่อสร้างแนวทางแก้ปัญหาที่ตรงจุด ทำได้จริงและยั่งยืน อีกความท้าทายหนึ่งของโลก คือการทำให้ได้อย่างที่พูดจึงจะสามารถแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้อย่างจริงจัง แม้จะมีพันธกิจร่วมกันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่สิ่งที่ทุกคนหวั่นใจคือไม่ได้ลงมือทำตามที่พูดไว้ สุดท้ายแล้วแผนการต่างๆ ที่ตกลงมาก็ไร้ประโยชน์”
ขณะที่ ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ให้ทรรศนะว่าความวุ่นวายของโลกเกิดจากการบริโภคนิยม (Consumerism) ที่ทำให้ภาคธุรกิจพยายามตอบสนองความต้องการของ
ผู้บริโภคที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีพันธกิจทั้งระดับองค์กร ระดับประเทศ และระดับโลก ที่มุ่งไปสู่เป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืน หรือ SDGs (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ ในปี 2030 พร้อมทั้งเป้าหมายสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ แต่ทุกคนต้องกลับมาถามตัวเองก่อนว่า เราสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากน้อยแค่ไหน ผมอยากให้ตั้งคำถามร่วมกันว่า หลังจากปี 2030 องค์การสหประชาชาติจะใช้หัวข้ออะไรในอีก 15 ปีถัดไป หรือปี 2545 ผมเชื่อว่าการคิดเรื่องความยั่งยืนจะกลับมาที่ปัจเจกบุคคล โดยการน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ในทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หลังยุคมิลเลนเนียมปี 2000 เกิดความร่วมมือกันของประเภทธุรกิจที่อยู่บนกระดานเดียวกัน (industry collaboration) เพื่อสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งและเติบโตแต่หลังวิกฤตการณ์โควิด-19 จะเป็นยุคของความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม(cross-industry collaboration) ซึ่งจะเห็นได้จากงาน SX 2022 ที่เกิดจากการรวมพลังของเครือข่าย Thailand Supply Chain Network และสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งทุกคนซึ่งถือเป็นพลังร่วมที่สำคัญและเป็นมิติใหม่ที่จะหาคำตอบว่า ทุกคนจะอยู่กันอย่างไรต่อไป และจะช่วยกันรักษาโลกใบนี้ได้อย่างไร