ช่วงเวลาปลายฝนต้นหนาวนั้นมักจะเกิดการระบาดของโรคติดต่อในเด็กเล็กชนิดหนึ่ง คือโรค RSV (Respiratory Syncytial Virus) แต่ RSV ไม่ได้เป็นโรคใหม่เลย เพราะเป็นที่รู้จักมากว่า 10 ปีแล้ว ช่วงการระบาด RSV คือปลายฝนต้นหนาว
RSV เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้เกิดอาการที่ระบบทางเดินหายใจ ติดต่อกันผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เป็นต้น อาการของโรคคล้ายกับไข้หวัดคือ มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล มีเสมหะ แต่ในรายที่อาการรุนแรงอาจมีการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง นำไปสู่หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ จนถึงเป็นปอดบวม และการหายใจล้มเหลว
ความจริงแล้ว RSV นั้นติดกันได้ทุกเพศทุกวัย แต่ที่ต้องกังวลเป็นพิเศษคือเด็กเล็ก เพราะในเด็กโตที่ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ เมื่อติด RSV ก็อาจจะมีอาการคล้ายๆ เป็นไข้หวัดเท่านั้น แต่ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบถือว่ามีความเสี่ยงสูง เมื่อติดเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากติดเชื้อในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับปอด โรคที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จัดเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ดังนั้นหากบุตรหลานในความดูแลของท่านมีเริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ต่อมาไอมากขึ้น เสมหะมากขึ้น หายใจลำบาก มีเสียงวี๊ดหรือมีเสียงครืดคราด มีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็ว อกบุ๋ม ต้องรีบพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันทีเพราะหากเป็น RSV จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ในปัจจุบันโรค RSV ยังไม่มีทั้งวัคซีนใช้ป้องกัน และยาใช้รักษาอย่างเฉพาะเจาะจงเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาก็คือรักษาตามอาการ มีไข้ก็ให้ยาลดไข้ไอมีเสมหะก็ให้ยาบรรเทาอาการไอยาละลายเสมหะ ยาขยายหลอดลมตามอาการของผู้ป่วย โรคนี้เป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีกได้ ดังนั้นต้องพยายามป้องกันไม่ให้เป็นโดยใช้หลักเดียวกันกับการป้องกันโรคโควิด คือใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสใบหน้าซึ่งในเด็กเล็กก็อาจจะทำได้ค่อนข้างยาก
ในบ้านที่มีเด็กอยู่ในวัยเรียน แล้วบุตรหลานมีอาการไข้หวัดแม้เป็นเพียงเล็กน้อยก็ควรแยกเด็กที่ป่วยออกจากสมาชิกคนอื่นๆ เพราะเด็กโตที่ติด RSV มักอาการไม่รุนแรง แต่ถ้านำเชื้อมาแพร่ให้แก่เด็กเล็ก เด็กเล็กก็จะเสี่ยงป่วยหนักกว่า
นอกจากต้องระวังน้องน้อยติดเชื้อจากพี่ๆ แล้ว คนอีกกลุ่มที่ต้องระวังติดเชื้อ RSV แล้วจะทำให้ป่วยหนักก็คือกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน โดยเฉพาะที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น
ฉะนั้น แม้ว่าโควิดจะลดระดับเป็นโรคระบาดประจำถิ่นประเทศพร้อมเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะหนีหนาวมาพักผ่อนในเมืองไทย เราอาจจะเห็นว่านักท่องเที่ยวไม่ค่อยสวมหน้ากากอนามัย แต่สำหรับพวกเราที่งานก็ต้องทำ ครอบครัวก็ต้องดูแล แน่นอนว่าการรักษาระดับการป้องกันตนเองไว้เทียบเท่ากับตอนโควิดระบาดหนักๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด เพราะนอกจากป้องกันโควิดได้แล้ว ก็ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อรุนแรงอื่นอย่างเช่น RSV ได้ด้วยเช่นกัน
รศ.ภญ.ดร.ณัฎฐดา อารีเปี่ยม
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี