ผู้หญิงไทยในหมู่บ้านสุขะจำนวนหนึ่งยังคงยึดมั่นในคำสั่งสอนของบรรพบุรุษว่าไม่ออกเรือน (แต่งงาน) กับคนนอกเชื้อชาติ เพราะต้องการรักษาสายเลือดดั่งเดิมไว้ และยังคงบูชาพระรามเหมือนครั้งสมัยบรรพบุรุษอยู่ในกรุงศรีอยุธยา
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยนำคุณไปสนทนาเรื่องราวของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่หมู่บ้านสุขะ ประเทศเมียนมา คนไทยกลุ่มนี้คือลูกหลานเหลนโหลนของเชลยสงครามเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายแก่พม่าเมื่อกว่า 200 ปีก่อน โดยผู้เล่าเรื่องในครั้งนี้คือ อูจีโก่ นักเขียนชาวเมียนมาผู้ศึกษาเรื่องคนไทยในหมู่บ้านสุขะส่วนล่ามภาษาเมียนมาที่แปลเป็นภาษาไทยคือ นางสาวชุน แล่ะ วิน หรือ ซยามะแก้ว ผู้สำเร็จการศึกษาภาษาไทยระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
l เรียนถามอูจีโก่ว่าศึกษาเรื่องราวของคนไทยซึ่งในอดีตคือเชลยศึกยุคกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้งที่สอง มานานกี่ปีแล้วครับ และอะไรคือแรงบันดาลใจให้สนใจศึกษาเรื่องนี้
อูจีโก่ : โดยส่วนตัวนั้นผมเรียนด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ แต่ที่มาสนในเรื่องคนไทยในเมียนมานั้นเริ่มศึกษาเรื่องนี้มาประมาณ10 กว่าปี โดยมาเริ่มศึกษาจริงๆ จังๆ เมื่อประมาณปี ค.ศ. 2015 โดยในช่วงแรกเริ่มก็ช่วยภรรยาซึ่งทำวิจัยระดับปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ เรื่องชาติพันธุ์คนไทยในเมียนมาเมื่อช่วยค้นคว้างานนี้มาระยะหนึ่งก็สนใจมากขึ้น แล้วจึงศึกษาและค้นคว้าเองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และได้เขียนหนังสือเรื่องคนไทยในหมู่บ้านสุขะในมัณฑะเลย์ด้วยหนังสือเล่มนี้ใช้เวลาค้นคว้าและเขียนรวมประมาณ 3 ปี จากการค้นคว้าเอกสารก็พบว่ามีหลวงพ่อเจ้าอาวาสรูปหนึ่งของวัดในมัณฑะเลย์ชื่อชุนมาซยาดอร์น่าจะมีเชื้อสายของคนไทย (อโยธยา แต่เมียนมาออกเสียงว่าโยเดีย) เมื่อได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็พบว่ามีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ยุคเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองได้อาศัยอยู่ในเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งพบว่าคือหมู่บ้านสุขะ หรือภาษาเมียนมาออกเสียงว่าซูกา
เมื่อยิ่งค้นหาข้อมูลก็ยิ่งทำให้สนใจมากขึ้น เพราะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สนับสนุนหลายประการ และยังพบว่าชื่อของหมู่บ้านสุขะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์คองบอง (ที่คนไทยเรียกว่าราชวงศ์อลองพญา) ราชวงศ์คองบองคือราชวงศ์สุดท้ายก่อนพม่า หรือเมียนมาจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ โดยในจารึกสมัยคองบองระบุถึงชื่อสะพานสุขะ และหมู่บ้านสุขะ คนไทยจะรู้จักพระมหากษัตริย์ในยุคราชวงศ์คองบองดีมากพระองค์หนึ่งคือพระเจ้ามินดง หรือออกเสียงภาษาพม่าคือมิ่นโด้นมิ่น พระองค์ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อมรปุระและมัณฑะเลย์ ชื่อสะพานสุขะและหมู่บ้านสุขะยังมีปรากฏจนถึงปัจจุบัน และสอบทานได้จากจารึกสมัยราชวงศ์คองบองด้วย ซึ่งน่าจะหมายความว่ามีชื่อหมู่บ้านนี้มาตั้งแต่ยุคก่อนสมัยคองบองก็เป็นได้เพราะจารึกมักจะเกิดจากการอ้างอิงข้อมูลจริงที่เกิดมาในช่วงก่อนหน้านั้นจนมาถึงในยุคที่มีการเขียนจารึก นอกจากนั้นที่ตำบลระแหง และตำบลมินดาซุ ที่อยู่ใกล้คลองชเวดชองยังถูกระบุว่าเป็นที่อยู่ของคนไทยและยวนที่ถูกกวาดต้อนไปสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาด้วย
l คนไทยในหมู่บ้านสุขะยังรักษาขนบประเพณีวัฒนธรรมใดบ้างที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยอย่างชัดเจน
อูจีโก่ : พบว่ามีโบราณวัตถุบางอย่างที่สืบเนื่องให้เห็นถึงความเป็นไทยได้ชัดเจนคือมีพระพุทธรูปและเจดีย์ที่สามารถบ่งบอกลักษณะของไทยได้บ้าง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือพระพุทธรูปที่พบในสมัยคองบองยุคต้นหรือยุคกลางมีพุทธลักษณะที่บ่งบอกถึงสมัยอยุธยาได้ เช่น ยอดพระเกศา พระนลาฏ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากพระพุทธรูปแบบพม่านอกจากนี้ยังมีรากเหง้าของการแสดงโขนในราชสำนัก เรื่องรามเกียรติ์ และอิเหนา รวมถึงประเพณีการไหว้บูชาศาลพระราม โดยพบการไหว้บูชาศีรษะพระรามที่ทำเสมอหัวโขน รวมถึงยังมีจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์บางแห่งเขียนภาพเด็กไว้ผมจุกผมแกละ ซึ่งเป็นทรงผมของชาวไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีคำบอกเรื่องการทำพลุ ตะไล บั้งไฟด้วย เพราะในสมัยก่อนนั้นงานทำพลุตะไลและบั้งไฟนั้นเป็นฝีมือของคนไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งเมื่อถูกกวาดต้อนไปอยู่ในพม่าก็ยังได้ทำเรื่องเหล่านี้ถวายในราชสำนักของพม่า ส่วนเรื่องการแต่งกายของคนไทยกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างไปจากชาวเมียนมาในมัณฑะเลย์ เพราะผสมกลมกลืนกันจนแยกแยะได้ลำบากมาก
l ปัจจุบันมีคนในหมู่บ้านสุขะที่สืบเชื้อสายจากคนไทยสมัยอยุธยาจำนวนมากแค่ไหนครับ
อูจีโก่ : ประมาณ 200 กว่าคนครับ แต่ที่น่าสนใจคือมีสตรีกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านสุขะประกาศตัวชัดเจนว่าไม่แต่งงานข้ามเชื้อชาติ แต่หากจะออกเรือน (แต่งงาน) ก็ต้องแต่งกับคนที่มีเชื้อสายไทยเท่านั้น หากไม่สามารถเลือกคู่แต่งงานเป็นคนมีเชื้อสายไทยที่เป็นลูกหลานคนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยสมัยเสียกรุงฯ ครั้งที่สองได้ ก็จะครองความเป็นโสดตลอดไป ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผู้หญิงประมาณ 40 คนที่ยึดมั่นในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด ซึ่งแสดงว่ายังรักษาคำสั่งคำสอนของบรรพบุรุษไว้ได้อย่างเคร่งครัดมาก แต่รูปแบบการแต่งกายจะดูละม้ายคล้ายกับชาวพม่า (เมียนมา) แต่ก็ยังมีลักษณะบางอย่างที่แสดงออกถึงความเป็นไทยสมัยอยุธยาไว้ เช่น การมวยผม เป็นต้น และยังมีคำพูดบางคำที่มีรากศัพท์ของไทยอย่างแน่นอน เช่นกล้วย (ก๊วย) น้ำอบ (นะโอบ) กินข้าว น้ำอ้อยพ่อ เป็นต้น แต่คำที่ออกเสียงก็ไม่ได้เหมือนคนไทยออกเสียงในประเทศไทย แต่เพียงเห็นได้ว่ามีรากของคำและการออกเสียงที่ผิดไปจากภาษาเมียนมาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่มีคำที่ออกเสียงและความหมายเหมือนของไทยในภาษาเมียนมาและยังพบว่ามีประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์
รวมถึงการไหว้บูชาพระรามสำหรับประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายนั้นมีให้เห็นชัดเจนที่หมู่บ้านมินดาซุ ตามประวัติระบุว่ามีเจ้าชายองค์หนึ่งของอยุธยาได้ทรงขอพระราชานุญาตจากกษัตริย์พม่าว่าจะทรงก่อพระเจดีย์ทราย เพื่อฉลองวันสงกรานต์ ซึ่งก็ทรงได้รับพระราชานุญาต และที่สำคัญคือมีจารึกเรื่องนี้อย่างชัดเจนด้วย ซึ่งการก่อพระเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์นั้นยังคงมีในหมู่บ้านสุขะมาจนทุกวันนี้ แต่เมื่อไปศึกษาเรื่องการก่อพระเจดีย์ทรายในหมู่บ้านของชาวพม่าในบริเวณอื่นๆ แล้วไม่พบว่ามีประเพณีเช่นนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ชาวหมู่บ้านสุขะยังไม่ทำอาชีพฆ่าสัตว์ แต่เลือกประกอบอาชีพเกษตรกรรม
แม้จะอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง ก็ไม่จับสัตว์น้ำไปกิน แสดงว่าเคร่งครัดในคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก โดยเฉพาะการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และพบด้วยว่าในสมัยพระเจ้ามินดงทรงเลื่อมใสพระเจ้าอาวาสคนไทยมาก จึงทรงถวายพระเจดีย์ทองคำองค์เล็กแด่ท่านเจ้าอาวาส อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าในบางหมู่บ้านในเมียนมา(พม่า) มีชื่อเป็นภาษาไทย และมีเจดีย์สถาปัตยกรรมคล้ายๆ ไทยหลงเหลืออยู่ แต่ปัจจุบันไม่พบคนเชื้อสายไทยหลงเหลืออยู่ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีการแต่งงานผสมกลมกลืนกันไปหมดแล้ว
l หมู่บ้านสุขะอยู่ไกลจากตัวเมืองมัณฑะเลย์มากไหมครับ ตั้งอยู่ทางทิศไหนครับ
อูจีโก่ : อยู่ห่างจากมัณฑะเลย์ไปทางทิศใต้ โดยอยู่ทางทิศใต้ของภูเขามัณฑะเลย์ ประมาณ 5 ไมล์
l หากคนไทยต้องการอ่านงานเขียนของอูจีโก่ในเรื่องคนไทยในเมียนมา จะหาอ่านได้อย่างไร หนังสือที่เขียนได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือไทยบ้างไหมครับ
อูจีโก่ : หนังสือที่ทำออกมาเป็นงานศึกษาวิจัยด้านคนไทยในหมู่บ้านสุขะ ในปัจจุบันที่พิมพ์ออกมาจำหน่ายนั้นมีแต่ภาษาเมียนมาเท่านั้น แต่มีคำสรุปสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษไว้ท้ายหนังสือ ส่วนการแปลเป็นภาษาไทยนั้น คิดว่าจะทำออกมาในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อจะได้ให้ข้อมูลกับคนไทยที่ สนใจเรื่องนี้ และจะได้นำไปไว้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ศึกษาเรื่องนี้ โดยจะต้องเพิ่มเติมเชิงอรรถ บรรณานุกรม และเนื้อหาในอีกบางส่วนด้วย แต่หากท่านใดสนใจงานเรื่องคนไทยในหมู่บ้านสุขะที่ผมเขียนออกมาในขณะนี้ก็ต้องอ่านจากหนังสือภาษาเมียนมาไปก่อนครับ ขอบคุณที่สนใจหนังสือเล่มนี้ครับ อันที่จริงยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจน่าติดตามและน่าค้นคว้าในเรื่องของคนไทยในเมียนมาอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาที่ทรงถูกอัญเชิญพระองค์ไปประทับในพม่าหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว เรื่องเหล่านี้สำคัญและน่าค้นคว้าเพิ่มเติมมาก
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตีออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2 และชมรายการย้อนหลังได้ที่YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี