บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครื่องดื่มครบวงจรที่มั่นคงและยั่งยืน ของภูมิภาคอาเซียน (Stable and Sustainable ASEAN Leader) ด้วยการครองคะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของโลกจากการประเมินของ S&P Global และยังเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (The Dow Jones Sustainability Indices - DJSI) มาอย่างต่อเนื่อง โดยจัดลำดับดัชนีตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets Index) เป็นปีที่ 7 และสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (DJSI World Index)เป็นปีที่ 6 โดยล่าสุดได้รับคะแนนสูงสุดอันดับ 1ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่อเนื่องเป็นปีที่ 5(ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2565) สะท้อนถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งของไทยเบฟ ในการเป็นต้นแบบองค์กรที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการใส่ใจด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและนำความภาคภูมิใจของคนไทยไปสู่ระดับโลก ไทยเบฟเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย PASSION 2025 ภายใต้พันธกิจ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” (Creating and Sharing the Value of Growth) เน้นย้ำกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อ“สรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน” (Enabling Sustainable Growth) ให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม การเกื้อหนุนสังคม และการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจในไทยและในภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2583
หัวเรือใหญ่ด้านกลุ่มงานความยั่งยืน ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ กล่าวว่าไทยเบฟมุ่งดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการดำเนินงานด้านสังคมใน5 มิติหลัก ได้แก่ การศึกษา สาธารณสุข กีฬา ศิลปะและวัฒนธรรม และการพัฒนาชุมชนและสังคม ที่ได้สร้างผลลัพธ์ความสำเร็จของการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และมีการติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
“ส่วนหนึ่งที่เราได้รับการจัดอันดับที่ดีต่อเนื่องเป็นเพราะเราลงมือทำอย่างจริงจัง ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนภายในองค์กร ตลอดจนความร่วมมือกับองค์กรภายนอก ที่สำคัญคือเราไม่ได้เพียงเขียนรายงาน แต่เรายังนำข้อแนะนำความคิดเห็นของคณะกรรมการ คู่ค้า ลูกค้า นำมาพัฒนาปรับปรุงแนวทางการทำงานที่ก่อให้เกิดผลสำเร็จตามมา”
ความสำเร็จต่างๆ นั้น ไทยเบฟได้นำเสนอในรูปแบบของการจัดงาน Sustainability Expo (SX) 2022 งานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความตระหนักรู้ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วไปและเยาวชนในภูมิภาคอาเซียน นับเป็นงานที่ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน โดยภายในงานแสดงให้เห็นว่าภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ได้อย่างไร อาทิ การคัดแยกขยะภายในครัวเรือนจะช่วยลดปริมาณขยะ สามารถนำขยะนั้นไปรีไซเคิลเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ได้ เช่นการรับคืนขวดน้ำพลาสติกมารีไซเคิลเป็น “ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก” นำไปแจกให้กับผู้ประสบภัยหนาวซึ่งทำมาต่อเนื่อง เศษอาหารนำไปหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ เป็นต้น
สำหรับในปี 2566 ต้องใจ กล่าวว่า ไทยเบฟยังคงเดินหน้าอย่างเข้มข้นสำหรับการประกอบธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยมีเป้ามาย ในด้านต่างๆ เช่น การรักษาคุณภาพน้ำและการคืนน้ำสู่ธรรมชาติเป็นสัดส่วน 100% ของปริมาณน้ำที่ใช้ ในการผลิตสินค้า ภายในปี 2573 และได้เริ่มดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ การผสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันดูแลและอนุรักษ์แหล่งน้ำ การดูแลชุมชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการอุปโภคและบริโภค โครงการประเมินความยั่งยืนของน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และ การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำร่วมกับชุมชน
อีกหนึ่งความยั่งยืนที่อยู่ระหว่างการทดลองใช้คือการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV) การขนส่งสินค้า ซึ่งขณะนี้มีใช้อยู่ 1 คันวิ่งระหว่างโรงงานและคลังสินค้า แต่อุปสรรคคือรถ EV มีราคาสูงกว่ารถใช้น้ำมันทั่วไป ไทยเบฟจึงร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง SCG ในการพัฒนารถบรรทุก EV รวมถึงจุดชาร์จไฟ ให้สามารถเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุก EV ได้อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
ไม่เพียงเท่านั้น ไทยเบฟ ได้ผนึกกำลังร่วมกับองค์กรภาคีธุรกิจชั้นนำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับสากล สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในอีกหลายโครงการที่ประสบความสำเร็จ อาทิ ภาคีเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (Thailand Supply Chain Network- TSCN) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการยกระดับความรู้และมาตรฐานการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในห่วงโซ่อุปทานของไทย โดยในงาน Sustainability Expo (SX) 2022 จะมีการเพิ่มหลักสูตรแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับพันธมิตร คู่ค้า ฯลฯ 30 คน/หน่วยงาน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้เรียนรู้แนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น โลกร้อน น้ำท่วม ธุรกิจจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด จะต้องเสียภาษีคาร์บอน ภาษีการใช้น้ำ เหล่านี้เป็นต้น
“เรามีแผนที่จะขยายนโยบายความยั่งยืนไปสู่ธุรกิจของไทยเบฟให้ครอบคลุมทุกประเทศที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งหลายๆ ประเทศในฝั่งตะวันตกได้เริ่มทำไปแล้ว เนื่องด้วยเขามีกฎหมายของประเทศนั้นๆ ควบคุมอยู่ แต่สำหรับในเอเชีย ประเทศเวียดนามถือว่าให้ความสนใจและตื่นตัวในการสร้างความยั่งยืนเป็นอย่างมาก แต่ที่ประเทศที่อาจจะติดขัดบ้างก็คือพม่า แต่เราก็จะพยายามที่ให้ทุกแห่งเดินไปพร้อมๆ กัน การพัฒนาความยั่งยืน ให้เติบโตแข็งแรง ทุกส่วนของธุรกิจ จะมีส่วนร่วมในการหาจุดเดินร่วมกัน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และโลก”
การดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งในการบริหารจัดการด้านธุรกิจ และการดำเนินโครงการต่างๆ ล้วนเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและความพร้อมในทุกมิติของไทยเบฟที่จะเดินหน้า “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” สู่การเป็นต้นแบบและผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี