ปัญหาไขมันในเลือดสูงจะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่คุณอาจจะไม่ทราบว่าไขมันที่เราบริโภคมากเกินไปสามารถไปเกาะตามอวัยวะสำคัญ อย่างเช่นตับได้ แล้วส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงตามมา อาทิตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะไขมันพอกตับมีหลายอย่างแต่ความจริงไขมันในเลือดของคนเราแบ่งเป็นหลายชนิดหลักๆ คือ คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งตัวที่มีระดับสูงแล้วสัมพันธ์กับภาวะไขมันพอกตับ คือไตรกลีเซอไรด์ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะไขมันพอกตับคือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากนี้ภาวะไขมันพอกตับยังสามารถเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 25) โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
เป็นอันที่จริง เรื่องไขมันพอกตับอาจจะนับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ เพราะเพิ่งมีการพูดถึงในวงกว้างไม่เกิน 10 ปีมานี้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะความผิดปกตินี้พบบ่อยในคนที่มีภาวะอ้วนซึ่งสัดส่วนประชากรที่มีภาวะนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศทางตะวันตกมีประชากรที่มีภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ถึงประมาณร้อยละ 20-30
ในคนอ้วนและคนที่เป็นเบาหวานพบภาวะไขมันพอกตับถึงประมาณร้อยละ 50 สำหรับตัวเลขในประเทศไทยจากการศึกษา เมื่อไม่นานมานี้พบว่าในผู้ไปรับการตรวจร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จำนวนเกือบ 5,000 คน มีเกือบครึ่งหนึ่งมีภาวะไขมันพอกตับ ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ แสดงให้เห็นว่าภาวะนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย และหากไม่ดูแลจัดการให้ดีจะมีปัญหาตามมาในอนาคต
ด้วยเหตุที่ตับเป็นอวัยวะที่อดทนมาก ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเล็กน้อยจึงยังไม่ค่อยแสดงอาการผิดปกติให้ทราบ ภาวะไขมันพอกตับก็เช่นกัน เริ่มแรกที่ไขมันไปเกาะตับ อาจจะยังไม่แสดงความผิดปกติ กระทั่งการอักเสบสะสม จนกระทั่งเซลล์ตับเริ่มมีการเปลี่ยนสภาพ ทำงานบกพร่อง ตับจึงจะเริ่มออกอาการ เช่น ตับแข็ง ดีซ่าน ซึ่งถึงจุดนี้ก็ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้ หรือการรู้แต่เนิ่นๆ ว่ามีภาวะนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญ
ในคนทั่วไปสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ โดยการจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมอาหาร จำกัดอาหารที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง เช่น พวกข้าว แป้ง อาหารน้ำตาลสูง ออกกำลังกาย รักษาระดับน้ำหนักตัวให้ไม่เกินเกณฑ์ สำหรับคนที่มีภาวะเสี่ยงไขมันพอกตับ เช่น อ้วน ไขมันเลือดสูง เป็นเบาหวานก็ควรหมั่นเช็คผลเลือดดูว่าค่าไตรกลีเซอไรด์และไขมันอื่นๆ อยู่ในเกณฑ์หรือไม่
หากพบว่าเกินหรือคิดว่าตนเองเสี่ยง ต้องไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมว่าตนเองมีภาวะไขมันพอกตับแล้วหรือยัง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเสี่ยงของแต่ละบุคคลว่าสมควรตรวจหรือไม่และควรตรวจอย่างไร
ตับทำหน้าที่กำจัดของเสียในร่างกาย แล้วยังทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงยาอีกด้วย การใช้ยาบางอย่างนานๆ จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ ตัวอย่างยาที่เป็นสาเหตุไขมันพอกตับ เช่น ทาม็อกซิเฟน (tamoxifen) ซึ่งเป็นยาฮอร์โมนบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเมโทรเทร็กเซต (methotrexate) ซึ่งใช้ทั้งในผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอย หรือโรคสะเก็ดเงินที่รุนแรง อะมิโอดาโรน (amiodarone) ซึ่งเป็นยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะยาเหล่านี้เป็นยาที่ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การเริ่มและหยุดยาต้องอยู่ภายในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดซึ่งหากผู้ป่วยที่ใช้ยาเหล่านี้อยู่เกิดมีความเสี่ยงการเกิดไขมันพอกตับ แพทย์ก็จะทำการสั่งตรวจและปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วยแต่ละราย
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นโรคเรื้อรังและมีความกังวลว่ายาที่ท่านใช้อยู่จะทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้หรือไม่ คุณสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลยาคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่าน line official @guruya ได้ตลอดเวลา
รศ.ภญ.ดร.ณัฎฐดา อารีเปี่ยม ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี