ลำไส้ใหญ่ในร่างกายคนเรามีความยาวประมาณ 1.5 เมตร มีหน้าที่รับกากอาหารที่ผ่านมาจากลำไส้เล็ก ทำการดูดซึมวิตามินแร่ธาตุ น้ำ นำกากอาหารที่เหลือและส่งกากใยต่อไปทางทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายในอุ้งเชิงกรานนั้นมีอีกชื่อหนึ่งว่า ลำไส้ตรงมีความยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ทำหน้าที่กักเก็บกากอาหาร เปลี่ยนเป็นอุจจาระและขับออกทางทวารหนัก ดังนั้น หากมีความผิดปกติเกิดในอวัยวะนี้ก็จะทำให้มักมาด้วยอาการผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่าย
ข้อมูลจาก แพทย์หญิงหทัยวรรณ ม่วงตาด นายแพทย์ชำนาญการด้านศัลยกรรมมะเร็งระบบทางเดินอาหารและตับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงในประเทศไทยพบมากเป็นอันดับสามในเพศชาย และอันดับสองในเพศหญิง (จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ) ที่น่ากังวลคืออัตราการเกิดโรคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทุกๆ วันมีคนไข้เสียชีวิตจากโรคร้ายนี้เฉลี่ยวันละ 15 คน (ปีละ 5,476 คน) และมีผู้ป่วยรายใหม่วันละ 44 คน (ปีละ 15,939 คน) ทั้งนี้ มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมีสาเหตุการเกิดโรคที่หลากหลาย แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในปัจจุบันคือการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารกลุ่มเนื้อแดง ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมูที่ผ่านการแปรรูป หรือปรุงด้วยความร้อนสูงเป็นเวลานานเช่นการปิ้งย่างจนไหม้เกรียม และมีมันสูง รับประทานอาหารกากใยน้อย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ นอกจากนี้มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงยังเกิดในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจากการมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงคนที่เคยตรวจพบติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่แบบอะดีโนมา หรือทำการรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
โดยทั่วไปโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมีอุบัติการณ์เพิ่มสูงในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ดังนั้น การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดนี้ในช่วงอายุดังกล่าวจึงสามารถป้องกัน หรือช่วยให้ตรวจพบมะเร็งระยะเริ่มต้นได้มาก ปัจจุบันตรวจคัดกรองด้วยวิธีการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Immunochemical Test : FIT) เป็นวิธีการตรวจที่สะดวก ง่ายและปลอดภัย ประชาชนอายุ 50-70 ปี สามารถรับอุปกรณ์และน้ำยาเก็บตัวอย่างได้ที่สถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปเก็บอุจจาระด้วยตนเองที่บ้าน ซึ่งขั้นตอนการเก็บตัวอย่างก็ไม่ยุ่งยาก กรณีที่เป็นชักโครก วางกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ชักโครก วางกระดาษทิชชู่สีขาวซ้อนบนกระดาษหนังสือพิมพ์อีกหนึ่งชั้น แล้วถ่ายอุจจาระลงบนกระดาษทิชชู่ (ดังภาพ) โดยระวังไม่ให้อุจจาระสัมผัสกับน้ำหรือปัสสาวะ กรณีที่เป็นส้วมซึม วางกระดาษทิชชู่ลงบนส่วนแห้งของส้วม แล้วจึงถ่ายลงบนกระดาษทิชชู่ (ดังภาพ) จากนั้นใช้ไม้ปลายเกลียวที่อยู่ในหลอดน้ำยา จิ้มเก็บตัวอย่าง (5-6 ตำแหน่ง) นำไม้ปลายเกลียวที่เก็บตัวอย่างแล้ว ใส่ในหลอดน้ำยาตามเดิม ปิดฝาหลอดน้ำยาให้แน่น แล้วเขย่า นำส่งเจ้าหน้าที่เพื่อทำการวิเคราะห์ผลต่อไป กรณีที่ได้รับผลผิดปกติผู้ป่วยจะได้รับการตรวจวินิจฉัยต่อด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพิ่มเติม เพื่อทำการวินิจฉัย แต่ในกลุ่มที่มีอาการผิดปกติ ได้แก่ ขับถ่ายแปรปรวนเช่นท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีดเรื้อรัง ควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยเพิ่มเติม
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงแบ่งการรักษาตามระยะการดำเนินโรค โดยในกลุ่มผู้ป่วยระยะเริ่มแรกนั้นสามารถทำการรักษาโดยการส่องกล้องทางเดินอาหารแบบตัดติ่งเนื้องอกแบบชิ้นเดียวผู้ป่วยไม่มีแผลผ่าตัดทางหน้าท้อง ในกรณีที่มีการลุกลามมากขึ้นบางกรณีสามารถรักษาโดยการผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเล็กเพื่อทำการตัดลำไส้ใหญ่ไส้ตรงและต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง และทำการตัดต่อลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลอดภัยและเป็นมาตรฐาน ผู้ป่วยบางรายสามารถหลีกเลี่ยงการมีช่องถ่ายอุจจาระทางหน้าท้อง (ทวารเทียม) ถาวรได้ รวมถึงการรักษาร่วมได้แก่ การให้ยาเคมีบำบัด การฉายแสง นำก่อนผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด ซึ่งทำให้เพิ่มโอกาสการหายของโรคและลดอัตราการกลับเป็นซ้ำได้ ทั้งนี้แม้ตัวโรคมีการลุกลามหรือแพร่กระจายไป การรักษาโดยการให้ยาเคมีร่วมกับยาเคมีพุ่งเป้า หรือภูมิคุ้มกันบำบัดช่วยชะลอการดำเนินของโรคผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีระดับหนึ่งได้ในระยะเวลานั้น
การดูแลร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมะเร็งที่ดีสามารถช่วยทำให้ห่างไกลจากมะเร็งได้ เริ่มที่การรับประทานอาหาร 5 หมู่ การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารเนื้อแดงแปรรูป ปิ้งย่างจนไหม้เกรียม แอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน และทำให้มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น จะช่วยให้ห่างไกลทั้งจากโรคร้ายนี้และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ สามารถศึกษาข้อมูลข่าวสารโรคมะเร็งจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ส่งเสริมความรอบรู้สู้ภัยมะเร็ง http://allaboutcancer.nci.go.th/เว็บไซต์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ และ Line : NCI รู้สู้มะเร็ง
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ