ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM2.5 ภาวะโลกร้อน หรือภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) นับเป็นปัญหามลภาวะที่นับวันจะทวีความรุนแรงไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่ผู้คนทั่วโลกต่างเผชิญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไข ด้วยเหตุผลนี้เองจึงเป็นที่มาของการจัดงาน “มหกรรมคืนชีวิตให้แผ่นดิน ครั้งที่ 16 ตอน ยุทธการสร้างโลกให้เย็น” จัดโดย มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งเป็นการรวมตัวของครูและศิษย์สายกสิกรรมธรรมชาติ ที่มาร่วมโชว์เคสความสำเร็จการดำเนินงานของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ที่ได้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” นำไปใช้ พร้อมเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้สนใจที่มาชมงานและงานมุทิตาจิตเนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิด อ.ยักษ์-ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ครูต้นแบบผู้น้อมนำศาสตร์พระราชามาลงมือทำจนสำเร็จเป็นตัวอย่างให้ลูกศิษย์ได้เดินตาม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี
ตัวแทนลูกศิษย์นำพานดอกไม้ธูปเทียนกราบมุทิตาจิต อ.ยักษ์-ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร เนื่องในวันเกิดอายุครบ 69 ปี
“มหกรรมคืนชีวิตให้แผ่นดินครั้งที่ 16 ตอน ยุทธการสร้างโลกให้เย็น” ไม่เพียงเป็นงานโชว์เคสความสำเร็จของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติที่จบหลักสูตรจากศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องเท่านั้น ภายในงานยังมีการออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเครือข่ายที่มาจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย กว่า 100 บูธ การเสวนาจากบรรดาครูกสิกรรมธรรมชาติระดับแนวหน้า และเวิร์กช็อปต่างๆ มากมาย ที่จะช่วยสร้างโลกให้เย็นโดยการเสวนาที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานได้แก่ หัวข้อ “ยุทธการสร้างโลกให้เย็น” ซึ่งเชิญครู ผู้เชี่ยวชาญ และปราชญ์ชาวบ้านมานำเสนอยุทธวิธีดับร้อน อาทิ อ.ยักษ์-ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ นายกสมาคมดินโลก อ.เดชา ศิริภัทร ครูชาวนา ผู้ทำเรื่องกัญชารักษาโรค มูลนิธิข้าวขวัญ อ.โจน จันได ผู้ก่อตั้งศูนย์พันพรรณ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ทองดำ โนนทิง เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติสกลนครผู้ปลดนี้และสร้างโลกให้เย็นด้วยการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์สี่อย่าง
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร, อ.โจน จันได, อ.เดชา ศิริภัทร และ ทองดำ เนินทิง ในการเสวนา “ยุทธการสร้างโลกให้เย็น”
ในการเสวนา อ.เดชา ศิริภัทร และ อ.โจน จันได มีข้อคิดเห็นที่ตรงกันว่า การที่โลกร้อนนั้น เกิดจากภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการผลิตสินค้าและบริการให้ได้ผลผลิตจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองการบริโภคที่มากเกินความจำเป็นของมนุษย์ และมนุษย์เองก็มีวิถีชีวิตที่ตัดตนเองจากธรรมชาติ จนไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัญหานี้จะหวังพึ่งภาครัฐให้มาแก้ไขปัญหาแต่เพียงฝ่ายเดียวคงไม่ได้ ทางแก้ไขที่จะทำให้โลกร้อนน้อยลงหรือเย็นมากขึ้นจะต้องเริ่มที่ตัวเรา รู้จักที่จะรอและใจเย็น ที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคที่มากเกินความจำเป็น รู้จักที่จะบริโภคอาหารที่หาได้ในท้องถิ่น กินอาหารที่หลากหลายกินอย่างรู้ที่มา กินอย่างพอเพียง ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยกันฟื้นฟูธรรมชาติอย่างเร่งด่วน เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกสัมพันธ์กันทำอะไรก็มีผลกระทบทั้งหมด ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตเราเองให้เย็นก่อน โลกก็จะไม่มีทางเย็นได้เช่นกัน
ด้าน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ได้เผยถึง Red code หรือสัญญาณเตือนภัยพิบัติที่ธรรมชาติกำลังส่งมายังพวกเรา ได้แก่ 1.คลื่นความร้อน ซึ่งการจะเป็นคลื่นความร้อนหมายถึงอุณหภูมิสูงขึ้น3 วันติดกัน แม้ช่วงสองปีที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นคลื่นความร้อนแต่ก็จัดอยู่ในความเสี่ยงและได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อน 2.ภัยแล้ง เกิดจากคลื่นความร้อนทำให้ต้นทุนน้ำหายไป หมายถึง อุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกๆ 1 องศา น้ำต้นทุนในเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำต่างๆ จะหายไป 7-10% ส่งผลให้เจอภัยแล้ง 3.ฝนตกหนัก น้ำที่หายไปไม่ได้หายไปไหนแต่กลายเป็นไอที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเมื่อเจอความกดอากาศก็กลายเป็นฝนทำให้ฝนตกหนัก 4.อุทกภัย ถ้าฝนตกหนัก ในพื้นที่ต่ำ พื้นที่เปราะบาง เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยุธยา ภาคอิีสาน เช่น อุบลราชธานี ก็จะประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก และ Red code ที่ 5 ซึ่งร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ คือ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จะมีหลายๆ พื้นที่จมหายไป อย่างที่เราได้ยินกันคือในอีก 30-50 ปีข้างหน้ากรุงเทพฯ จะจมทะเล โดยมีข้อมูลยืนยันมาแล้วว่าในอีก 7 ปีข้างหน้า ชายฝั่งทั่วโลกจะหายไปประมาณ 6 กม. ถ้าเรายังไม่ตระหนักหรือมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ก็จะกลายเป็นหายนะสำหรับมวลมนุษยชาติ ถ้ารอจนถึงตอนนั้นเราก็ทำอะไรไม่ทันแล้ว
เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติจากทั่วประเทศมาร่วมงาน
ปิดท้ายด้วยยุทธวิธีสร้างโลกให้เย็นจาก อ.ยักษ์-ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร บอกว่า ยุทธการ 5 ป. คือหนทางที่จะนำไปสู่การสร้างโลกให้เย็น อันเป็นวิธีการที่น้อมนำศาสตร์พระราชามาใช้ เริ่มจาก 1.ป-ปลุกเพาะกล้า ให้คนทั้งแผ่นดิน คนทั้งโลกตื่นขึ้นมาร่วมกันเพาะกล้าไม้คนละ 300 ต้นต่อปีแค่คนไทย 10 ล้านคน ก็ได้ 300 ล้านต้นต่อปีแล้ว ที่ 2.ป-ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง เพาะแล้วเอามาปลูกให้ได้ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ตามศาสตร์พระราชา กินได้ ใช้ได้ ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 3.ป-สร้างงาน สานประโยชน์ การเพาะกล้าและการปลูกช่วยสร้างงานให้คนได้มหาศาล เป็นการสร้างงานให้ประชาชนเพาะแล้วเอาไปปลูกในบ้านตัวเอง ในวัด ในโรงเรียน แล้วเอาประโยชน์มาแบ่งปันกัน 4.ป-หยุดโทษ ปลดขยะ ปัญหาโลกร้อนส่วนหนึ่งมาจากขยะ ขยะก็เกิดจากเรา จึงต้องเริ่มที่ตัวเราในการลดขยะ และเรียนรู้การจัดการขยะที่ถูกต้อง เปลี่ยนขยะสร้างปัญหาเป็นขยะทองคำ ป.สุดท้ายคือ ป-สร้างสัปปายะสถาน ประกอบด้วย ที่พักอาศัยที่เหมาะสมผู้มีเมตตากรุณาต่อกัน มีความจริงใจ กินอาหารที่พอเหมาะ มีอาหารเพียงพอ และการอยู่ในศีลในธรรม ประพฤติดีประพฤติชอบ หากเราทุกคนเปลี่ยนได้ดังนี้ไม่ว่าโลกจะร้อนแค่ไหน เราก็จะสามารถหยุดมันได้ และทำให้โลกกลับมาเย็นอีกครั้ง
คัดแยกขยะเปลี่ยนให้เป็นขยะทองคำ หนึ่งในยุทธการสร้างโลกให้เย็น
ทั้งนี้ อ.ยักษ์ยังได้ย้ำอีกว่า งานขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาสู่ความยั่งยืน หรือสร้างสังคมให้มีความพอเพียงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อนำข้อมูลมาประกอบในการวางแผนสร้างพลังสามัคคีขึ้นในหมู่คนทั้งโลกให้บรรลุถึงความพอเพียง ในการขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาและการปลูกป่า 3 อย่างให้เกิดประโยชน์ 4 อย่างได้มีการจัดทำแพลตฟอร์มชื่อว่า “๙ Unity” ที่ได้รวบรวมข้อมูลว่า มีใครที่ไหนที่ได้เพาะกล้า ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์4 อย่างไปแล้วเท่าไหร่ เพื่อนำข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ สังเคราะห์แล้วนำกลับไปเป็นประโยชน์ต่อทุกๆ คน โดยหวังว่า “๙ Unity” จะเป็นพลังของพวกเราทุกคนให้งานเดินหน้าไปได้ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อมูลที่ทำให้เราเหลียวหลังกลับมามองได้เสมอๆ
ผู้สนใจมีส่วนร่วมในการสร้างโลกให้เย็นด้วยศาสตร์พระราชา สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี โทร.038-198643, www.mabueang.com และ Facebook : มหาลัยคอกหมู (ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี