นับเป็นความปีติยินดียิ่งของปวงชนชาวไทย เมื่อ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงราชย์และเฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามพระราชประเพณี ในห้วงเวลาวันที่ 4-6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของแผ่นดินไทย เนื่องจากเป็นพระราชพิธีสำคัญเพื่อการเสด็จขึ้นครองราชย์โดยสมบูรณ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พร้อมทั้งทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอดและครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระประมุข ทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมราชบุพการีทั้งสองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ได้ทรงกระทำบำเพ็ญมาแล้วอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการอย่างต่อเนื่องในการพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ตลอดจนการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์ทรงน้อมนำแนวพระราชดำริและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาทรงปฏิบัติ ทรงแสดงความมุ่งมั่นพระราชหฤทัยที่จะทรง “สืบสาน รักษา ต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระบรมชนกนาถให้เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ทั้งด้วยพระราชดำรัส พระบรมราโชบาย แนวพระราชดำริ ตลอดจนพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งปวง
สืบสาน คือทรงนำองค์ความรู้ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาสืบสานในการทรงงาน รักษา คือพระราชทาน
พระราชดำริแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้เกิดความยั่งยืน ต่อยอด คือสานต่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้สัมฤทธิผลตามพระราชประสงค์
ด้านการสาธารณสุขและสุขภาพอนามัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงใส่พระราชหฤทัยในสุขทุกข์ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับเป็นพระราชภารกิจสำคัญที่จะดูแลประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน ทั้งสองพระองค์ได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณและพระราชทานความช่วยเหลือในทุกด้านมาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่6 เมษายน พุทธศักราช 2563 ได้เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 และมาตรการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล พร้อมพระราชทานพระบรมราโชบายเพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ความว่า...
“มีอะไรที่จะมีส่วนช่วยเหลือ ที่จะแก้ปัญหาก็ยินดี เพราะว่าก็เป็นปัญหาของชาติ ซึ่งเรื่องโรคระบาดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ เรามีหน้าที่ที่จะดูแลแก้ไขให้ดีที่สุด อย่างที่เคยพูดไว้ว่า ถ้าเกิดมีความเข้าใจในปัญหา มีความเข้าใจ ไม่ใช่หมายความว่ายอมรับตามบุญตามกรรม แต่มีความเข้าใจในสถานการณ์ มีความเข้าใจในปัญหา และก็มีความรู้เกี่ยวกับโรค ก็คือเข้าใจในปัญหานั่นเอง อันแรกก็เป็นอย่างนี้
อันที่สอง ก็คือจากข้อที่หนึ่ง ก็คือ การมีการบริหารจัดการ มีแผนเผชิญเหตุ มีระบบในการปฏิบัติ แก้ไขให้ถูกจุด รู้ปัญหา แก้ไขให้ถูกจุด โดยมีการบริหารจัดการแล้วก็ในเวลาเดียวกันก็ต้องให้ประชาชนได้เข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง และเหตุผลที่จะต้องปฏิบัติ เพราะว่าการมีระบบ หรือแผนในการปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้ตามความเป็นจริง ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แก้ถูกจุด ก็จะลดปัญหาลงไป จะแก้ได้ในที่สุด ก็เชื่อแน่ว่าจะต้องแก้ไขและก็เอาชนะอันนี้ได้ เพราะว่าประเทศของเรานี่ก็นับว่าทำได้ดี
ประเทศของเรานี่น่าภูมิใจว่าทำได้ดี และก็ทุกคนก็ร่วมใจกัน ก็ดีกว่าที่อื่นอีกหลายที่ แต่บางทีก็ต้องเน้นเรื่องการทำงานมีระบบด้วยความเข้าใจ และการมีระเบียบวินัยในการแก้ไขปัญหา โดยมีเป้าหมายว่า เราจะต้องต่อสู้ให้โรคนี้สงบลงไปได้ในที่สุด เพราะว่าโรคมาได้ โรคก็ไปได้ โรคจะไม่ไปถ้าเราไม่แก้ไขปัญหา เราไม่แก้ไขให้ถูกจุด หรือเราไม่มีความขันติอดทนที่จะแก้ไข บางทีก็ต้องสละในความสุขส่วนตัวบ้าง หรือเสียสละในการกล้าที่จะสร้างนิสัยหรือสร้างวินัยในตัวเอง ที่จะแก้ไขเพื่อตัวเอง เพื่อส่วนรวม อันนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้”
ด้วยความห่วงใยที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วนในภาวะวิกฤตของการแพร่ระบาด เพื่อพระราชทานให้กับบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัย ห้องผ่าตัดแรงดันลบที่ใช้แยกผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ออกจากผู้ป่วยรายอื่นในโรงพยาบาล ห้องตรวจหาเชื้อ (Modular Swab Unit)
อีกทั้งได้พระราชทานพระราชทรัพย์ให้เอสซีจีดำเนินการก่อสร้างให้ 20 โรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ภายใต้ “โครงการเครื่องช่วยหายใจและเครื่องมือแพทย์พระราชทาน” พระราชทานให้กับโรงพยาบาล 123 แห่ง ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยหน้ากากอนามัย Face Shield ชุด PPE ชุดกันไวรัส PAPRเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว เครื่องช่วยหายใจ เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพ (ICU Monitor) เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล เครื่องกำจัดเชื้อโรคและฟอกอากาศบริสุทธิ์ เครื่องช่วยกดหน้าอกเพื่อฟื้นคืนชีพ กล้องส่องทางเดินหลอดลมแบบเคลื่อนที่ โคมไฟผ่าตัดใหญ่โคมคู่ เครื่องสกัดสารพันธุกรรมอัตโนมัติ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ และสิ่งของอื่นๆ ที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดหาและพระราชทานไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ และชุมชนแออัด
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กำลังอยู่ในขั้นวิกฤตจากการแพร่ระบาดระลอก 3 อย่างต่อเนื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อสมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่างๆ เพื่อใช้ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังนี้ พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราชพระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่ โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 27 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาท แก่ เรือนจำ ทัณฑสถาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วนในการรักษาชีวิตผู้ป่วย
ตลอดระยะเวลาของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือด้วยพระองค์เองในหลายครั้ง อาทิ เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการพระราชทานความช่วยเหลือประชาชน ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ณ กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ทอดพระเนตรการทำถุงผ้าพระราชทานสำหรับบรรจุเครื่องอุปโภค-บริโภคพระราชทานแก่ราษฎร การผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเย็บหน้ากากผ้าสำหรับเป็นตัวอย่างให้กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ นำไปผลิตเพื่อพระราชทานแก่ข้าราชบริพารและราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2564 วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ได้ทวีความรุนแรงขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยและทรงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละกำลังกายและอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย ได้ทรงประกอบอาหารพระราชทานด้วยพระองค์เอง อาทิ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระเครื่องยาจีน ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟลูกชิ้นเห็ดหอม ข้าวซี่โครงหมูอบกระชายขาวยอดผัก ไข่เจียวหมูสับกระชายซอย คั่วกลิ้งไก่กระชายขาว ลาบเหนือคั่วกระชาย ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพรไทยที่ช่วยบำรุงร่างกายและต่อต้านโรคโควิด-19 ได้แก่ กระชาย เป็นส่วนประกอบสำคัญในการประกอบอาหาร เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ให้มีสุขภาพแข็งแรงและสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ
นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ครัวพระที่นั่งอัมพรสถานและหน่วยงานทหารจัดอาหารพระราชทานให้แก่ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคไวรัสโควิด-19 ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลอากาศโทสุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้แทนพระองค์ฯ ส่งมอบยาฟ้าทะลายโจรพระราชทาน จำนวน 2,000 ขวด แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้บำบัดรักษาเป็นเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีอาการไม่มากนัก ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงเล็งเห็นว่าการแพร่ระบาดในพื้นที่เรือนจำ อาจจะระงับยับยั้งได้ยาก จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดหาเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์แก่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลผู้ต้องขัง กับโรงพยาบาลในสังกัดกรมราชทัณฑ์ พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์จำนวน 200,000 เม็ด พระราชทานแก่กรมราชทัณฑ์ สำหรับใช้รักษาผู้ป่วยในเรือนจำและทัณฑสถานต่างๆ โดยทรงมีพระราชดำริว่า “ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านสุขภาพ เนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ”
มิใช่เพียงสถานการณ์โควิด-19 ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญในการดูแลทุกข์สุขของราษฎร ไม่ว่าพสกนิกรจะทุกข์ร้อนเรื่องอันใด น้ำพระราชหฤทัยจะแผ่ไปอย่างทั่วถึงทั้งแผ่นดิน ดั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอลจำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ทรงมีพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ ดำรัสสั่งให้ พระราชทานความช่วยเหลือพสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เร่งช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน พระราชทานถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภค และสิ่งของที่จำเป็นแก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน จัดตั้งโรงครัวพระราชทานพระราชทานแก่ราษฎรที่มาพักที่ศูนย์อพยพ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ พร้อมทั้งพระราชทานแจกันดอกไม้และตะกร้าสิ่งของแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ และทรงรับศพนายกรสิทธิ์ ลาวพันธ์ อาสาสมัครดับเพลิงเสียชีวิตเหตุอาสาสมัครดับเพลิงที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ นำมาซึ่งขวัญกำลังใจแก่ผู้ประสบเหตุการณ์เป็นอย่างมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ยังทรงให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยและโภชนาการของผู้สูงอายุ เด็ก และ เยาวชน มาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยราชการในพระองค์ เชิญอาหารพระราชทานไปพระราชทานเลี้ยงแก่ผู้สูงอายุเด็ก และเยาวชน ไปพระราชทานเลี้ยงแก่ผู้สูงอายุ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันคล้ายวันพระราชสมภพและวันคล้ายวันประสูติของพระบรมวงศานุวงศ์ มาโดยตลอด รวมถึงผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์เหล่านี้ให้ได้รับประทานอาหารที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสมตามวัย เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีจิตใจที่แจ่มใส สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ด้านการศึกษาและเยาวชน
ด้วยทรงตระหนักในคุณค่าและความสําคัญของการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ จึงทรงสนับสนุนการศึกษาแก่ประชาชน ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยทรงมีพระราชดำริให้ดำเนิน “โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร” เมื่อปีพุทธศักราช 2552 โดยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้นำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาสร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2553 ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.)” โดยทรงรับเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสืบต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนไทยทั่วประเทศที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี มีคุณธรรม แต่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับทุนพระราชทานม.ท.ศ. ไปแล้ว รวม 13 รุ่น มากกว่า 2,000 ราย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีไปแล้วรวม 6 รุ่น จำนวนเกือบ 700 ราย
ขณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับโรงเรียนมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร 6 แห่งที่กระทรวงศึกษาธิการก่อตั้งขึ้นไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แก่ โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา ในจังหวัดนครพนม กำแพงเพชร และสุราษฎร์ธานี และโรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ในจังหวัดอุดรธานี สงขลา และฉะเชิงเทรา เพื่อเพิ่มโอกาส ในการศึกษาให้แก่เยาวชนผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล ทั้งหมดนี้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เอง อีกทั้ง ยังพระราชทานวัสดุอุปกรณ์ การศึกษาอันทันสมัย อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ พระราชทานคำแนะนำและทรงส่งเสริมให้โรงเรียนดังกล่าวดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน อาทิ โครงการอาชีพอิสระ ซึ่งจะทำให้เด็กนักเรียนได้นำความรู้มาใช้ประกอบ อาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวต่อไปเมื่อจบการศึกษา นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียนและติดตามผลการศึกษา รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมกิจกรรมของโรงเรียนต่างๆ อยู่เสมอ
อีกทั้ง พระราชทานจักรยานให้แก่เด็กนักเรียนที่ยากจน ด้อยโอกาส และมีความจำเป็นต้องใช้จักรยานเป็นพาหนะสำหรับการเดินทางไปเรียนหนังสือสำหรับเด็กนักเรียนทั่วประเทศ โดยทรงมีพระราชดำริให้กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ) จัดจักรยานพระราชทานให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่บิดา มารดา ผู้ปกครอง มีรายได้ไม่เกิน 40,000 บาทต่อปี และขี่จักรยานได้ เขตพื้นที่การศึกษาละ 50 คัน รวมทั้งหมดจำนวนมากกว่า 10,000 คัน นับว่าพระองค์ทรงมีพระเมตตาห่วงใยเด็กนักเรียนที่อยู่ห่างไกล เป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอีกด้วย
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พุทธศักราช 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปยังศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 บางเขน กรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เขตบางเขน เพื่อทอดพระเนตรการฝึกปฏิบัติและดูงานศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 บางเขน พร้อมพระราชทานพระราชดำรัส แก่เยาวชนโครงการค่ายผู้นำเยาวชนจิตอาสา “LOVE CAMP” Leadership -Oneness - Volunteer - Expertหลักสูตรการฝึกปฏิบัติและดูงานเศรษฐกิจพอเพียง ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศรุ่นที่ 1 จำนวน 271 คน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขอให้เยาวชนหนุ่มสาวช่วยกันพัฒนาตัวเอง ครอบครัว สังคม และประเทศ ให้มีความสุข น่าอยู่ ปลอดภัย ดังในอดีต ให้ศึกษาประวัติศาสตร์ แล้วนำส่วนดีมาใช้ โดยทรงมีรับสั่งว่า“สมัยนี้คนไม่ค่อยชอบเรียนประวัติศาสตร์กัน คนไม่ค่อยคิดอะไรย้อนหลัง ไม่ได้สอนให้เป็นคนสมัยเก่าไดโนเสาร์อะไร แต่ความเป็นมาความต่อเนื่อง...ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์หรือความเป็นมาของชาติบ้านเมือง ทั้งที่ดี ทั้งที่ไม่ดีเราก็จะรู้ว่าอะไรมันดีอะไรเป็นประโยชน์ อะไรมันไม่ดี เพราะว่ามันมีของดี มันก็มีของไม่ดี มันมีของถูก มันก็มีของผิดก็สำคัญที่ว่า จะเปิดใจศึกษาว่าอะไรมันถูกอะไรมันผิด อะไรมันเป็นประโยชน์ อะไรมันไร้ประโยชน์ แต่อย่างที่บอกว่าประวัติศาสตร์มีทั้งของเลวชั่วร้าย และก็มีทั้งของที่ดี”
ด้านจิตอาสาและสาธารณประโยชน์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดโครงการหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อของจิตอาสาและภาพการ์ตูนฝีพระหัตถ์จิตอาสาพระราชทาน เพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ประชาชนทุกคนที่มีจิตอันเป็นกุศลในการทำความดีเพื่อส่วนรวมและประเทศชาติ โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พุทธศักราช 2562 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อของจิตอาสาและภาพการ์ตูนฝีพระหัตถ์จิตอาสาใหม่ เพื่อทดแทนชื่อของจิตอาสาและภาพการ์ตูนฝีพระหัตถ์จิตอาสาที่ได้พระราชทานไว้แต่เดิม เพื่อเชิญไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับจิตอาสาพระราชทาน โดยพระราชทานชื่อจิตอาสา ว่า “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.” และให้ใช้ชื่อและภาพการ์ตูนจิตอาสาใหม่ในกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับจิตอาสาพระราชทานและในการจัดทำสิ่งของพระราชพระราชทานที่เกี่ยวข้องต่างๆ
เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2560 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยราชการในพระองค์ร่วมกับหน่วยราชการต่างๆ และประชาชนทุกหมู่เหล่าที่มีจิตอาสาร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมในเขตชุมชน ปัญหาการจราจร และอื่นๆ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยปัญหาน้ำท่วมและปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ อาทิ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดโครงการจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อออกปฏิบัติงานสาธารณประโยชน์ เช่น การดำเนินการเก็บผักตบชวา วัชพืช ขยะมูลฝอย สิ่งกีดขวางทางน้ำ และขุดลอกคูคลองระบายน้ำ รวมทั้งทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ วัด และ ตลาดชุมชน เพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาสภาพแวดล้อมในชุมชน และขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ
อีกทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานภาพวีดิทัศน์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูรสิริวิบูลยราชกุมาร (ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ) ทรงร่วมกิจกรรมต่างๆโดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬาและกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เยาวชนด้านการออกกำลังกายและการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2561 ทั้งนี้ ได้จัดให้มีการลงทะเบียนจิตอาสาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ณ อาคารรับรองพระราชวังดุสิต อาคาร 606 สำนักพระราชวัง โดยประชาชนจิตอาสาที่เข้าร่วมกิจกรรมนั้นต่างได้รับสิ่งของพระราชทาน ได้แก่ หมวกผ้าพันคอ และสมุดบันทึกความดี เพื่อเป็นกำลังใจให้ทำความดีต่อไป
ด้านการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญรอยตามสมเด็จบูรพมหากษัตริยาธิราช แห่งมหาจักรีราชวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยเกื้อหนุน เกื้อกูล เผยแผ่ และธำรงไว้ ซึ่งการสืบทอดพระพุทธศาสนา ดังภาพที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ด้านศาสนา อันเป็นเป็นภาพที่ซาบซึ้งใจของราษฎรชาวไทยทุกหมู่เหล่าเรื่อยมา
เมื่อเดือนเมษายน พุทธศักราช 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินขึ้น-ลงพระบรมบรรพต (เจดีย์ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ทางบันได จำนวน 688 ขั้น เพื่อทรงห่มผ้าองค์พระเจดีย์บรมบรรพต และสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ แม้เส้นทางที่ทรงพระดำเนินทางบันไดแต่ละขั้นจะเต็มไปด้วยความลาดชันด้วยความสูงจากฐานถึงยอด 63.6 เมตร หากแต่ด้วยพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาในพระบวรพระพุทธศาสนาพระองค์ทรงพระดำเนินขึ้นสู่ด้านบนพระเจดีย์บรมบรรพต ด้วยพระพักตร์อันสดใส อีกทั้ง ยังทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่างๆ อาทิ ทรงประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระประธานพระวิหาร“พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง” ณ วัดมหาวนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เพื่อให้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวอุบลราชธานี และถวายเป็นพุทธบูชา, ทรงเปิดแพรคลุมป้าย “เจดีย์อัฐบริขารเขมาภิรโต” และทรงประกอบพิธีสมโภช “พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย” ณ วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เป็นต้น รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ
ด้านการบริหารจัดการน้ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับ “โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง” ของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง จำนวน 15 แห่ง ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนม ศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี และพัทลุง ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกพื้นที่จะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 37,600 ครัวเรือน หรือ 143,000 คนครอบคลุมพื้นที่กว่า 557,000 ไร่ ปริมาณน้ำรวม 11.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ช่วยประหยัดรายจ่ายให้ประชาชนกว่า 500 ล้านบาทต่อปี จากการมีน้ำดื่มสะอาดไว้บริโภค
เมื่อต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.หนองฝ้าย อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “อีสานภาคกลาง” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ เป็นพื้นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เงาฝน ไม่มีระบบชลประทาน ประชาชนในหนองฝ้ายต้องจ้างรถบรรทุกน้ำสำหรับใช้อุปโภค-บริโภค บางคนไม่มีน้ำใช้ในการเกษตรหรือปศุสัตว์ ต้องเสียเงินเพื่อใช้ในการสูบน้ำจากบ่อเพื่อมาทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ ทำให้มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ชีวิตเป็นอยู่แสนยากเข็ญ
ด้านการเจริญพระราชไมตรีระหว่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระวิริยอุตสาหะประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญๆ ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ เสมอมาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมชนกนาถ และ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงพระองค์ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยและพระวรกายเพื่อที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนทัดเทียมนานาอารยประเทศโดยไม่ทรงทิ้งเอกลักษณ์และภูมิปัญญาอันล้ำค่าที่มีอยู่คู่แผ่นดินไทย ในการเสด็จพระราชดำเนินไปประเทศใดนั้นจะทรงเตรียมพระองค์ด้วยการศึกษาเกี่ยวกับประเทศที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนอย่างละเอียดทุกครั้ง ระหว่างประทับอยู่ในประเทศดังกล่าว ก็จะทรงมุ่งมั่นสร้างสานเจริญทางพระราชไมตรีและมีความสนพระทัยที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรกิจการด้านต่างๆ เพื่อทรงนำกลับมาปรับและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3แห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ระหว่างวันที่ 4-7พฤษภาคม พุทธศักราช 2566 เพื่อทรงร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ กรุงลอนดอน นับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างทั้งสองราชวงศ์และสองประเทศนี้ให้แน่นแฟ้นยั่งยืนสืบไป
นับเป็นบุญของแผ่นดินไทยที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และทรงอุทิศพระองค์เพื่ออาณาประชาราษฎร์ ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรง “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ดังพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี