วันที่ 22-29 กันยายน 2566 เป็นสัปดาห์เภสัชกรรม ซึ่งแนวคิดหลังของงานปีนี้คือ เภสัชกรทั่วไทยห่วงใยทุกคน
หากคุณผู้อ่านมีโอกาสไปโรงพยาบาล หรือห้างสรรพสินค้าในช่วงนี้ อาจมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมหรือชมนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับการรณรงค์เสริมความปลอดภัยในการใช้ยา แต่หากผู้อ่านไม่ได้พบเจอกิจกรรมสัปดาห์เภสัชกรฯ บทความฉบับนี้ ก็ขออนุญาตทำหน้าที่เภสัชกรไทยที่ห่วงใยสุขภาพของคุณ
เมื่อพูดถึงเภสัชกร ก็จะนึกถึงยาต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิต และจะนึกถึงมากขึ้นเมื่อใช้ยาแล้วมีปัญหา หรือมีข้อสงสัยเรื่องยา แต่ก็ต้องบอกว่า จริงๆ แล้ว ก่อนที่ใครก็ตามจะใช้ยา ก็ต้องเข้าใจก่อนว่ายาคือสารเคมี หากใช้ผิดก็สร้างปัญหาให้ผู้ใช้ได้ ดังนั้นเราต้องบอกตัวเองตลอดเวลาว่า เมื่อเราจำเป็นต้องใช้ยา เราต้องมั่นใจว่าเราจะปลอดภัย แต่หากคุณไม่มั่นใจเรื่องยา และมีคำถามเกี่ยวกับยา คุณสามารถปรึกษาเภสัชกรได้
โดยทั่วไปคนเรานั้นมักมีปัญหาเรื่องยา ในประเด็นต่อไปนี้
1 ไม่ได้ใช้ยาที่ควรใช้ หรือจำเป็นต้องใช้ เช่น คนที่อาจมีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง แต่ไม่เคยไปตรวจสุขภาพ จึงยังไม่ได้กินยาลดความดัน ยาลดน้ำตาล หรือยาลดไขมัน
2 เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับประเภทแรก คือ ใช้ยาที่ไม่จำเป็นต้องใช้หรือไม่มีข้อบ่งใช้ เช่น เป็นไข้หวัดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส แต่น้ำมูกมีสีเขียว ก็คิดว่าติดเชื้อแบคทีเรียจึงไปซื้อยาปฏิชีวนะมากิน ซึ่งความจริงไม่มีความจำเป็นเลย เพราะไม่ตรงโรค แถมอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา แล้วเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาตามมา
3 เลือกใช้ยาไม่เหมาะสมกับโรคที่เป็น เช่น เป็นภูมิแพ้ แต่ต้องทำงานหรือเรียนหนังสือ แต่เลือกใช้ยาแก้แพ้แบบกินแล้วง่วงนอนมาก แทนที่จะเลือกแบบไม่ง่วงหรือในกรณีที่ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง แต่ไปเอายาฆ่าเชื้อที่ไม่ตรงชนิดของแบคทีเรียมาใช้
4 ขนาดยาที่ใช้ไม่เหมาะสม อาจจะสูงหรือต่ำเกินไปหรือไม่ได้ปรับขนาดให้เหมาะกับอายุ หรือการทำงานของตับ ไตของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น คุณแม่มีลูก 2 คน อายุและน้ำหนักไม่เท่ากัน วันหนึ่งลูกเป็นไข้ทั้งคู่ แต่คุณแม่ให้ยาเด็กทั้ง 2 คน ในขนาดเท่ากัน ซึ่งอาจจะน้อยไปสำหรับคนโต หรือมากไปสำหรับคนเล็ก เป็นต้น
5 เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่ใช้ เช่น กินยาบรรเทาปวดลดอักเสบแล้วระคายเคืองกระเพาะอาหาร กินยาแก้ไอแล้วท้องผูก เป็นต้น ปัญหาเกี่ยวกับยาข้อนี้อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ผู้ใช้ยาพบบ่อยที่สุดเพราะยาเกือบทุกชนิดมีผลข้างเคียงไม่มากก็น้อย
6 ปัญหายาตีกัน ซึ่งมีโอกาสเกิดได้เสมอ เมื่อใช้ยามากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป นอกจากนั้น ยาบางตัวตีกับอาหารบางประเภท เช่น นม การกินยาร่วมกับนม อาจทำให้ยาดูดซึมน้อยลงจนไม่ได้ผล เป็นต้น และยากับสมุนไพร รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็มีโอกาสเกิดปัญหาต่อการรักษา และเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
7 ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา การไม่ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ หรือคำแนะนำของเภสัชกร เช่น ยาปฏิชีวนะ ต้องกินต่อเนื่องกันจนหมด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเชื้อดื้อยา แต่ในชีวิตจริงเมื่ออาการจากการติดเชื้อดีขึ้น ผู้ป่วยส่วนหนึ่งก็หยุดใช้ยาเอง
จะเห็นว่าปัญหาเกี่ยวกับยามีไม่น้อย คุณผู้อ่านลองสำรวจตัวเองว่ามีปัญหาในข้อใดบ้าง หรือตรวจสอบการใช้ยาของคนในความดูแล แล้วพบว่ามีข้อมูลบางอย่างสอดคล้องกับบางปัญหาที่กล่าวมาแล้ว หากเป็นดังนั้น คุณต้องรีบไปปรึกษาเภสัชกร โดยสามารถสอบถามได้ที่ line : @guruya เพื่อให้เภสัชกรประจำศูนย์ข้อมูลยาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโอกาสดูแลสุขภาพคุณ ผ่านการตอบคำถามเกี่ยวกับยา เพื่อให้เกิดประโยชน์และความปลอดภัยสูงสุด ด้วยความห่วยใยจากเภสัชกรทุกคน
รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี