การมีหนี้สาธารณะไม่ใช่เรื่องผิดหรือเลวร้าย แต่ต้องนำเงินจากหนี้นั้นไปสร้างความเจริญให้ประเทศอย่างแท้จริง แล้วต้องใช้หนี้ที่ก่อขึ้นให้ได้ ต้องเคร่งครัดวินัยการเงินการคลัง ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย ชวนคุณๆ ไปสนทนาเรื่องความจำเป็นของการก่อหนี้สาธารณะกับการพัฒนาประเทศกับ คุณแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
l เรียนถามว่าหนี้สาธารณะสำคัญและจำเป็นกับประเทศมากน้อยแค่ไหนครับ
คุณแพตริเซีย : สำคัญมากค่ะ เพราะในกรณีที่ประเทศไม่มีเงินมากพอจะพัฒนาประเทศ และเพื่อแก้วิกฤต ก็จำเป็นต้องก่อหนี้สาธารณะ แต่เมื่อก่อหนี้แล้วต้องสามารถชดใช้ได้นะคะ และเรียนว่า หนี้สาธารณะเป็นหนี้ของประเทศ เป็นหนี้ที่รัฐบาลเป็นคนกู้ กู้เพื่อใช้ดูแลบริหารประเทศ เพื่อการลงทุน การศึกษา ก่อสร้างระบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็น และบางครั้งเพื่อใช้แก้วิกฤตของประเทศ ถ้าจะเปรียบให้เห็นชัดๆ คือ ประเทศก็คล้ายบริษัท บริษัทต้องดำเนินธุรกิจ ต้องหารายได้ ต้องมีกำไร แล้วก็ต้องลงทุน คือมีทั้งรายได้และรายจ่ายรายจ่ายก็เพื่อการลงทุน แต่เป็นการลงทุนที่จะต้องก่อให้เกิดกำไรกับบริษัท หากบริษัทมั่นใจว่าลงทุนแล้วได้กำไร ก็ต้องลงทุน เงินลงทุนก็มีหลายรูปแบบ คือใช้เงินเก็บหรือไม่ก็กู้เพื่อลงทุน หลายบริษัทใช้การกู้เพื่อลงทุน โดยไม่ควักเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุน ประเทศไทยก็เช่นกันต้องลงทุน ประเทศต้องมีรายจ่าย แล้วก็ต้องหารายได้เข้าประเทศ รายได้ส่วนใหญ่มาจากภาษีอากร และการค้าขายระหว่างประเทศ ส่วนรายจ่ายของประเทศก็ต้องถูกกำหนดผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประเทศมีรายจ่ายหลายชนิด ทั้งรายจ่ายประจำ และรายจ่ายเพื่อสวัสดิการของประชาชน และรายจ่ายสำหรับการลงทุนพัฒนาประเทศ โดยหลักการของหนี้สาธารณะ ส่วนใหญ่รัฐบาลกู้มาเพื่อลงทุน ยกเว้นกรณีเกิดวิกฤต เช่น ในช่วงเผชิญวิกฤตโควิดแพร่ระบาดหนัก จำเป็นต้องก่อหนี้ เพื่อนำเงินไปใช้แก้ปัญหา สรุปสั้นๆ ว่าหนี้สาธารณะคือหนี้ของประเทศ ที่รัฐบาลกู้มาเพื่อดูแลประเทศ เพื่อการลงทุนพัฒนาประเทศ เพื่อให้ประเทศเจริญเติบโตและก้าวหน้า นับเป็นเรื่องจำเป็นค่ะ
l การเป็นหนี้สาธารณะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายในทุกกรณี ต้องดูว่าก่อหนี้เพื่ออะไรเป็นสำคัญ ใช่ไหมครับ เหมือนเป็นหนี้เพื่อนำเงินไปเรียนหนังสือ แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ก่อประโยชน์
คุณแพตริเซีย : ใช่ค่ะ จำเป็นต้องดูวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ด้วย แต่ขอบอกความแตกต่างระหว่างบริษัทเอกชนกับรัฐบาลคือ รัฐบาลไม่ได้แสวงหากำไรเป็นหลัก แต่เอกชนแสวงหากำไร การลงทุนของรัฐบาลหลายอย่างเน้นกำไรอย่างเดียวไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงสวัสดิภาพของประชาชนเป็นสำคัญ หนี้สาธารณะที่กู้มา
เพื่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย ระบบสาธารณูปโภคสำคัญ และเพื่อความมั่นคงของประเทศ เป็นสิ่งที่จะคำนึงถึงกำไรไม่ได้ ก็ต้องย้ำว่าหนี้สาธารณะไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ต้องเป็นการก่อหนี้ที่ใช้แล้วได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุน เพื่อให้ประเทศเจริญและพัฒนาขึ้น เช่น เรากู้เงินมาเพื่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และโครงการสาธารณูปโภคสำคัญมากมาย กู้มาเพื่อให้บริการรถไฟ รถเมล์ และรถไฟฟ้า เป็นต้น โครงการเหล่านี้ส่วนมากมาจากหนี้สาธารณะ
l การมีหนี้สาธารณะมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับ GDP จึงจะบ่งบอกว่าประเทศกำลังอยู่ในสถานะน่าวิตก หรือสภาวะเสี่ยงมากๆ เพราะเมื่อดูบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะมากกว่า 250 เปอร์เซ็นต์ สหรัฐฯ มีหนี้กว่า 100 เปอร์เซ็นต์ หรือจีนก็กว่า 200 เปอร์เซ็นต์ แม้กระทั่งสิงคโปร์ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีปัญหา แต่กรีก มีหนี้กว่า 200 เปอร์เซ็นต์ แล้วมีปัญหาหนักมาก เรื่องหนี้พิจารณาจากอะไรเป็นสำคัญครับ
คุณแพตริเซีย : ต้องเรียนว่าเปอร์เซ็นต์ที่เทียบกับ GDP เป็นการกำหนดกรอบไว้เบื้องต้นของแต่ละประเทศ ซึ่งเคยกำหนดไว้ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องบอกว่ามันคือตัวเลขจากการศึกษาขององค์การระหว่างประเทศที่ดูแลตัวเลขหนี้ และส่วนมากจะเพ่งเล็งไปที่ประเทศกำลังพัฒนา โดยมักกำหนดว่าไม่ควรมีหนี้สาธารณะเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่กรอบตัวเลขนี้ก็ใช้กันมานานมากแล้ว ของไทยก็ปรับจาก 60 เป็น 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ก่อนจะปรับนั้น เราก็ศึกษาความเหมาะสมว่าควรจะเป็นตัวเลขเท่าไร ระหว่าง 65 หรือ 70 หรือ 75 แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ดูเฉพาะเรื่องหนี้สาธารณะต่อ GDP เท่านั้น แต่เราดูประเด็นสำคัญคือ ความสามารถในการชำระหนี้ เราต้องดูว่าเรามีความสามารถชำระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด หากเราก่อหนี้แล้วเราสามารถชำระคืนได้ ก็ไม่มีปัญหา แล้วต้องจ่ายให้ครบถ้วนด้วยนะคะ ตัวอย่าง ญี่ปุ่นก่อหนี้ได้มาก เพราะรู้ว่าเขาสามารถชำระหนี้ได้ แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา เพราะมีหนี้จริง แต่จ่ายได้ครบ ดังนั้นกรอบกำหนดเรื่องเปอร์เซ็นต์ต่อ GDP จึงเป็นเพียงตัวเลขสำหรับประกอบการพิจารณาเบื้องต้น แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือความสามารถในการชำระหนี้ของแต่ละประเทศ
l เวลารัฐบาลจะก่อหนี้ ต้องพิจารณาจากปัจจัยสำคัญตัวไหนมากที่สุดครับ
คุณแพตริเซีย : การก่อหนี้สาธารณะที่ใหญ่ที่สุดมักมาจากการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุดค่ะ สำหรับประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลมาโดยตลอดหลายปีมากแล้ว มีน้อยปีที่เราทำงบประมาณแบบสมดุล ย้ำว่าเราใช้งบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด เหตุที่ต้องใช้งบประมาณขาดดุล เพราะรัฐบาลมีรายได้ แล้วก็มีรายจ่าย แต่ทว่าประเทศเรามีรายจ่ายสูงกว่ารายได้เราจึงต้องกู้มาปิดบัญชีให้ได้ ดังนั้น ในทุกๆ ปี ทุกรัฐบาลจึงต้องกู้เหมือนๆ กันทั้งหมด คือ กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยขึ้นอยู่กับว่าสัดส่วน หรือ percentage ของกรอบงบประมาณจะกำหนดไว้เท่าไร แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ประเทศเรามีกฎหมายสำคัญตัวหนึ่ง คือกรอบวินัยการเงินการคลัง รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตลอดเวลา และต้องระมัดระวังเสมอว่า เราจะก่อหนี้อย่างไรก็ตามก็ต้องไม่ผิดกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศ โดยไม่ทำให้ขาดดุลงบประมาณสูงมากเกินไป ทุกอย่างต้องอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะพอควร โดยคำนึงถึงงบประมาณประจำปีเป็นสำคัญ หากถามว่าแล้วเราจะทำให้การขาดดุลงบประมาณลดลงได้อย่างไร ตอบสั้นๆ ว่าต้องเพิ่มรายได้ แล้วลดรายจ่าย ตอบแบบนี้ง่ายมาก แต่ทำให้เกิดจริงยากมาก เพราะฉะนั้น การเพิ่มรายได้ของรัฐก็คือต้องเพิ่มความสมัครใจในการเสียภาษีของประชาชน โดยขยายฐานเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีใหม่ๆ หรือต้องเก็บภาษีให้มากขึ้นตามความจำเป็น ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมรายจ่าย โดยต้องดูว่าทางสำนักงบประมาณจะเกลี่ยตัวเลขได้อย่างไร จึงจะเหมาะสมกับสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ
l บ้านเรายังมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนผู้เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคลมาก จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรบ้างครับ
คุณแพตริเซีย : เรื่องนี้ทางหน่วยงานจัดเก็บภาษี และจัดเก็บรายได้ก็กำลังพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บตลอดเวลาค่ะ และก็ต้องขอให้ประชาชนผู้เสียภาษีเข้าใจความสำคัญเรื่องนี้ด้วย เพราะมันมีผลกับการพัฒนาประเทศ และหน่วยงานจัดเก็บรายได้ก็กำลังหานวัตกรรมเพื่อให้สามารถจัดเก็บรายได้ให้มากขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่น เรื่องการเก็บภาษีชนิดใหม่ เช่น ภาษีการรักษาสิ่งแวดล้อม เรื่องจำเป็นแบบนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว เพราะเราต้องช่วยกันดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมของเราและของโลก เช่น ต่อไปอาจจะต้องมีภาษีสำหรับบำบัดน้ำเสีย มลภาวะ เป็นต้น นี่คือการหาทางเพิ่มรายได้ แต่ก็คงต้องค่อยๆ ดำเนินไปตามขั้นตอนที่เหมาะสม ทั้งหมดต้องอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชนด้วย
l ระดับหนี้สาธารณะที่ไทยมีในขณะนี้ ถือว่าสูงไปหรือต่ำไปครับ เมื่อเทียบกับความสามารถของประเทศไทย
คุณแพตริเซีย : จริงๆ แล้วไทยยังมีความสามารถในการกู้ได้มากกว่านี้ค่ะ เรามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีมาก เราชำระได้ดีมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องก่อหนี้มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็น ในฐานะสำนักบริหารหนี้สาธารณะ เราหารือกับสำนักงบประมาณตลอดเวลาในประเด็นงบชำระหนี้ คือเราต้องมีงบฯ ส่วนนี้ให้มากเพียงพอ เพราะแต่ละปี เรามีหนี้ครบกำหนดชำระหลายตัว แต่ในหลักการปฏิบัติ เราไม่สามารถนำเงินงบประมาณไปจ่ายหนี้ได้ทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องผิดหลักการบริหารหนี้สาธารณะที่ดี หลักบริหารหนี้สาธารณะที่ดีคือ ต้องจ่ายเงินต้นบางส่วน แต่สำหรับหนี้บางส่วนที่ยังจ่ายไม่ได้ ก็จะต้องปรับโครงสร้างหนี้ไปเรื่อยๆ นี่คือหลักการปกติ ที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะได้ศึกษาแล้วว่าในแต่ละปีต้องชำระหนี้จำนวนเท่าไร โดยปกติก็อยู่ที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งควรจะได้รับการจัดสรรเพื่อชำระหนี้ของรัฐบาล ส่วนหนี้ที่เหลือก็ปรับโครงสร้างไป หลักการนี้เป็นเรื่องที่เราคิดว่าเหมาะสมและชัดเจน และนับว่าเป็นการบริหารจัดการที่ดี ในความเป็นจริง การได้รับงบประมาณมาในแต่ละปีนั้น บางปีก็มาก บางปีก็น้อย เพราะว่าสำนักงบประมาณต้องจัดสรรงบฯ เพื่อเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย นี่คือประเด็นสำคัญและจำเป็นที่เราสื่อสารเรื่องนี้ให้สังคมรับรู้ตลอดเวลาว่า ต้องได้รับการชำระเงินต้นมากเพียงพอ มิฉะนั้น จะเกิดปัญหาดอกเบี้ยพอกพูนไปเรื่อยๆ
l สรุปคือ เรายังสามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาการพอกพูนของดอกเบี้ย ถูกต้องไหมครับ
คุณแพตริเซีย : ใช่ค่ะ แต่ก็ต้องย้ำว่า หนี้สาธารณะคือหนี้ของทั้งประเทศ โดยผู้รับผิดชอบคือประชาชนทุกคน หมายถึงประชาชนที่เสียภาษีเงินได้เป็นสำคัญนะคะ และต้องอนุญาตบอกว่าการที่หลายๆ คนอ้างว่าเขากำลังแบกหนี้อยู่ เรื่องนี้ไม่จริงค่ะ คนที่แบกหนี้คือคนเสียภาษีเงินได้ค่ะ แต่ถ้าใครไม่ได้เสียภาษีจะอ้างว่ากำลังแบกหนี้ไม่ได้ค่ะ เพราะฉะนั้นผู้เสียภาษีคือคนแบกหนี้ตัวจริง แต่ก็เชื่อว่าผู้เสียภาษีคงเห็นความจำเป็นของการก่อหนี้ เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้น เมื่อประเทศพัฒนาแล้วประชาชนก็จะมีรายได้มากขึ้น
l หนี้สาธารณะของไทยส่วนใหญ่ เป็นหนี้กู้ในประเทศหรือจากต่างประเทศครับ
คุณแพตริเซีย : กว่า 98 เปอร์เซ็นต์ เป็นหนี้ที่กู้ในประเทศค่ะ กู้จากต่างประเทศประมาณไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ค่ะส่วนที่กู้จากต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนี้ที่กู้จากธนาคารเพื่อพัฒนาต่างๆ เช่น ADB บ้าง World Bank บ้าง พวกนี้เป็น project loan คือรัฐบาลมีโครงการก่อสร้างอยู่ก่อนแล้ว เราจึงไปขอกู้มาพร้อมกับให้เขาส่งผู้เชี่ยวชาญของโครงการมาช่วยดู ช่วยกำกับดูแลโครงการก่อสร้างค่ะย้ำว่า เรากู้จากต่างประเทศน้อยมาก อันที่จริงอาจจะบอกว่าเรากู้น้อยเกินไปด้วยซ้ำนะคะ เพราะเรามีความสามารถกู้ได้มากกว่า แต่ก็ไม่ได้กู้
l การกู้จากแหล่งไหนดีกว่ากันครับ ระหว่างในกับต่างประเทศ อะไรดีกว่าในเชิงการบริหารจัดการหนี้ครับ แต่การที่เรากู้ในประเทศมาก แสดงว่าในประเทศเรายังมีสภาพคล่องมากใช่ไหมครับ
คุณแพตริเซีย : ก็มีดีมีเสียต่างกันไป การกู้เงินนั้น ต้องดูเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย หากจำได้ก่อนที่ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 เราเผชิญปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรง สมัยก่อนคนไทยจำนวนไม่น้อยกู้เงินจำนวนมากจากต่างประเทศ แต่หลักเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งทำให้หลายคนกลัวมาก และฝังใจเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ในครั้งนั้นเมื่อค่าเงินบาทลอยตัว หนี้ก็เพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่า เรื่องนี้สำนักบริหารหนี้สาธารณะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แล้วต้องบอกว่าในบ้านเรายังมีสภาพคล่องอีกมาก เพราะฉะนั้น เราจึงเน้นการกู้ในประเทศก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกู้จากต่างประเทศก็มีข้อดีนะคะ เพราะจริงๆ แล้วนักลงทุนจากทั่วโลกเขาสนใจผลิตภัณฑ์ของไทยมาก ถึงแม้ว่าเรากู้ในประเทศก็จริงแต่ก็ยังมีนักลงทุนจากสถาบันต่างประเทศต้องการเข้ามาถือพันธบัตรของไทยด้วย นักลงทุนกลุ่มนี้สนใจอยากได้พันธบัตรไทยมาก เขาสอบถามมาตลอดเวลาว่า เมื่อไรรัฐบาลไทยจะออกพันธบัตรประเภทดอลลาร์บอนด์ หรือยูโรบอนด์ เพราะเขาต้องการ แต่ประเด็นคือในขณะนี้ หากเราออกบอนด์ดังกล่าว มันมีค่าใช้จ่ายสูงมากกว่าเดิม เพราะดอกเบี้ยโลกมันขึ้นตลอดเวลา ดูจากดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่แพงกว่าไทยหลายเท่า จึงกล่าวได้ว่าช่วงเวลาในการออกบอนด์ของเราในตอนนี้ไม่เหมาะสม เพราะมันผ่านช่วงเวลาที่เหมาะสมไปแล้ว คือในช่วงที่มีปัญหาโควิดแพร่ระบาด ในตอนนั้นดอกเบี้ยต่ำมาก แต่เราก็มีปัญหาภายในค่อนข้างมาก ก็จึงไม่ได้ออกบอนด์ในระยะนั้น ซึ่งในช่วงนั้นสภาพคล่องในไทยสูงมาก แต่ก็ผ่านช่วงเวลานั้นไปแล้ว อันที่จริง หากเราออกบอนด์ในช่วงนั้น จะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ค่ะ เราแค่อยากออกบอนด์เพื่อ tab ตลาดต่างชาติไว้บ้าง แต่การจะออกบอนด์เพื่อขายต่างชาติมันมีขั้นตอนมาก ต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างน้อยๆ 3-4 เดือน
หากเรามีหนี้สาธารณะมากๆ ไปเรื่อยๆ ในอนาคตจะทำให้เรามีปัญหาการชำระหนี้ไหมครับ หรือกลายเป็นเบี้ยวหนี้ได้ไหมครับ
คุณแพตริเซีย : เรื่องการไม่ชำระหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก มันคือสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศล่มสลายแล้ว แล้วจากนั้นคนไทยจะทำธุรกิจกับใครอีกไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือเอกชน ทุกอย่างจะเลวร้ายไปหมด แต่ขอยืนยันว่า ไม่เกิดกับประเทศไทยแน่นอน เพราะเราเคร่งครัดในวินัยการเงินการคลังมาก ไทยไม่เกิดปัญหาที่ว่าอย่างแน่นอนค่ะ เราไม่ยอมให้เกิดแน่ๆ การที่ประเทศใดก็ตามเบี้ยวหนี้มันคือการล้มละลายเลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะย้อนกลับไปเล่าสักนิดหนึ่งคือ การกู้ในประเทศหรือต่างประเทศมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน คือเงินในระบบก็เหมือนกับน้ำ ในประเทศมีน้ำจำกัด แต่ทุกคนในประเทศต่างต้องการน้ำ ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็กคนตัวกลาง คนตัวใหญ่ บริษัททุกแห่ง ก็ต้องการน้ำ รัฐบาลก็ต้องการน้ำ ถ้าสมมุติว่าเราเป็นคนตัวเล็ก แล้วตักน้ำด้วยขันเล็กๆ แต่รัฐบาลตัวใหญ่กว่าใช้เครื่องสูบน้ำแบบไดโว่ แบบนี้ก็จะเห็นว่าใครกู้ได้มากกว่ากัน รัฐบาลกู้ได้มากกว่า และกู้ทีละหลายหมื่นล้านหรือแสนล้าน นี่คือสิ่งที่เอกชนจะกังวล เพราะเท่ากับรัฐบาลไปแย่งสภาพคล่องก็คือไปแย่งน้ำจากเอกชน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เอกชนกลัวที่สุดก็คือ รัฐบาลแย่งสภาพคล่อง ทำให้เอกชนต้องกู้เงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ทำธุรกิจยากขึ้น รัฐบาลก็ให้ความระมัดระวังเรื่องนี้มาก
l ตอนนี้มีคนทั่วไปพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นครับ
คุณแพตริเซีย : ใช่ค่ะ รัฐบาลให้ความสนใจเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นที่ผ่านมารัฐบาลจึงบริหารงานในทำนองว่าต้องดูทุกอย่างให้รอบคอบ ดูสภาพคล่อง ดูว่าเอกชน
ต้องการเงินลงทุนมากไหม ธนาคารต้องการเงินฝากหรือไม่รัฐบาลจะไม่ไปแย่งน้ำกับประชาชน จึงได้บอกว่า บางทีการกู้เงินจากต่างประเทศ มันก็คือการออกไปหาแหล่งน้ำอื่นเพิ่มเติม ไม่ต้องมาแย่งแหล่งน้ำกันเองในประเทศ
l อ้างตามหลักวิชาการด้านเศรษฐกิจบอกว่าหากประเทศพัฒนาแล้วมีหนี้สาธารณะ เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ของ GDP จะทำให้เศรษฐกิจไม่ดี ส่วนประเทศกำลังพัฒนาก็ไม่ควรมีหนี้สินที่เกิดจากการกู้ต่างประเทศเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ แนวคิดนี้ยังใช้ได้ในปัจจุบันไหมครับ
คุณแพตริเซีย : ตามทฤษฎีก็บอกแบบนั้น แต่ก็เป็นทฤษฎีที่ใช้มานานแล้ว แต่ก็นับเป็นกรอบการพิจารณาค่ะแต่ดูตัวอย่างที่ชัดๆ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดทุกประเทศต่างกู้เงินจนทะลุเพดานที่กำหนดค่ะ เพราะจำเป็นต้องกู้เงินมาแก้วิกฤต ถ้าไม่มีเงินแก้วิกฤต ประเทศต้องเสียหายหนักอาจล่มจมได้ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องกู้จนเกินเพดาน แต่ประเด็นสำคัญกว่าคือเราให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถของการชำระหนี้ และการบริหารงบประมาณต้องดูหลายปัจจัย ดูมากกว่าเรื่องการเทียบหนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ต่อ GDP โดยหลายๆ ประเทศอย่างที่ ดร.เฉลิมชัย ยกตัวอย่าง เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ก็มีหนี้สูงมาก ประเทศเหล่านั้นกู้เพื่อใช้พัฒนาประเทศ การกำหนดกรอบเพดานหนี้ โดยเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับ GDP เป็นแนวคิดประกอบการพิจารณาเท่านั้น หากกู้หนี้มาแล้ว จะมากเท่าไรก็ตาม แต่เราสามารถชดใช้ได้แล้ว
ก็ไม่มีปัญหาค่ะ กรอบเพดานมันคือตัวเลข มันสำคัญที่การบริหารจัดการหนี้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพของแต่ละประเทศมากกว่า
l มีประเทศไหนในโลกไม่มีหนี้สาธารณะบ้างไหมครับ
คุณแพตริเซีย : เคยมีนะคะ มีช่วงหนึ่งได้ยินว่าบรูไนฯ น่าจะไม่เคยมีหนี้เลย แต่ว่าในระยะหลังๆ น่าจะเริ่มมีหนี้บ้างค่ะ เพราะเขาพัฒนาประเทศมากขึ้น
l เพราะบรูไนฯ ในอดีตเป็นประเทศเล็กๆ มีประชากรน้อย แล้วเขามีทรัพยากรมากมาย เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เขามีฐานะเศรษฐกิจดี ไม่จำเป็นต้องก่อหนี้ ใช่ไหมครับ
คุณแพตริเซีย : ใช่คะ แต่เป็นบรูไนฯ ในอดีตค่ะ แต่ว่าจริงๆ แล้วอย่างที่ดิฉันบอกคือ การมีหนี้สาธารณะนั้นมันคล้ายๆ เป็นการขาย products ตัวประเทศค่ะ เพราะฉะนั้น ดังนั้นแต่ละประเทศจึงมีหนี้สาธารณะมากหรือน้อยต่างกันไป มันเป็นการบ่งบอกถึง products ของประเทศด้วย เช่น มี products ขายให้ต่างชาติ เช่น การขายพันธบัตรรัฐบาลให้ต่างชาติ เป็นต้น แต่นักลงทุนต่างชาตินั้น เวลาเขาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือตลาดหุ้น เขาก็ต้องการผลตอบแทน ผลตอบแทนจะออกมาใน 2 แบบคือ ดอกเบี้ย กับส่วนต่างของผลตอบแทน เพราะฉะนั้น การที่ต่างชาติซื้อพันธบัตรรัฐบาล ก็หมายถึงเขาเชื่อมั่นในรัฐบาลด้วย พันธบัตรที่มี liquidity สูงๆ ผู้ซื้อก็จะได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็ขึ้นกับผู้ซื้อว่าเขาจะถือไว้นานหรือไม่ เขาอาจซื้อแล้วขายหลังจากนั้นไม่นาน เพราะเขาอาจจะย้ายไปซื้อจากตลาดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าก็ได้ บอนด์ที่เราออกก็เป็นเสมือนผลิตภัณฑ์หนึ่งของประเทศเรา หากของเราดี คนก็อยากได้ไปครอบครอง
l จะฝากประเด็นทิ้งท้ายถึงคนที่อาจเข้าใจเรื่องหนี้สาธารณะไม่ลึกซึ้งอย่างไรบ้างครับ
คุณแพตริเซีย : ขอเรียนว่า การมีหนี้สาธารณะไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายค่ะ หากเรารู้ว่านำเงินจากหนี้นั้นไปใช้ในการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ พัฒนาชีวิตของประชาชน สิ่งสำคัญคือเราทุกคนที่เป็นประชาชนชาวไทยต้องช่วยกันเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ทั้งทางตรงและทางอ้อม การทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นคือการทำให้ประเทศมั่นคงขึ้น และขอยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ได้อยู่สถานะใกล้เคียงกับการล่มสลาย หรือสภาพถังแตก เรายังมีความมั่นคงทางด้านการเงินการคลัง ขอให้ทุกคนมั่นใจในประเทศไทยค่ะ เรามาช่วยกันทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งนะคะ
คุณสามารถรับชมรายการไลฟ์ วาไรตี รายการที่ให้ทั้งสาระและความรู้ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 14.05-14.30 น.ทางโทรทัศน์ NBT ช่องหมายเลข 2และชมรายการย้อนหลังได้ที่YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี