การมาของเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ ทำให้พนักงานในหลายประเทศหวั่นวิตกการเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือสหรัฐฯ เพราะผลสำรวจพนักงานชาวอเมริกันจาก Gallup ซึ่งทำการสำรวจแรงงานในสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปัจจุบัน พบมี 22% ของคนอเมริกันกลัวว่า “เทคโนโลยี” จะมาทำให้ตำแหน่งงานของตัวเองล้าสมัยและไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป ตัวเลขนี้พุ่งขึ้นจากสัดส่วนเพียง 15% เมื่อปี 2021 และเป็นครั้งแรกที่เห็นการพุ่งขึ้นอย่างชัดเจนของความกังวลนี้
ความกังวลที่สูงขึ้นชัดเจนนี้เป็นผลมาจากกลุ่มพนักงานที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานนั่งโต๊ะเป็นมนุษย์ออฟฟิศ จากเดิมพนักงานกลุ่มนี้เคยกังวลเรื่องเทคโนโลยีเพียง 8% แต่ล่าสุดมีคนที่กังวลเพิ่มเป็น 20% แล้ว เทียบกับกลุ่มพนักงานที่จบต่ำกว่าระดับมหาวิทยาลัย มีกลุ่มที่กังวลเรื่อง “FOBO” (Fear of Better Option) หรือ “ความกลัวที่จะพลาดทางเลือกที่ดีกว่า” เป็นสัดส่วน24% เท่าเดิม สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มมนุษย์ออฟฟิศก็กังวลเรื่อง “การทดแทนตำแหน่งงานด้วยเทคโนโลยี” ไม่ต่างจากกลุ่มพนักงานโรงงานเท่าใดนัก
หากเปรียบเทียบในเชิงเจเนอเรชั่นจะเห็นว่ากลุ่มพนักงานยิ่งอายุน้อยก็จะยิ่งกังวลว่าตนอาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น โดยพบว่าในกลุ่มพนักงานวัย 18-34 ปี มีถึง 28% ที่กังวล รองลงมาในกลุ่ม 35-54 ปีมีความกังวล 23% ปิดท้ายที่วัย 55 ปีขึ้นไปมีคนที่กังวลแค่ 13% เท่านั้น ส่วนเพศชาย-เพศหญิงไม่มีผลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลชัดเจนคือระดับรายได้ โดยพบว่าในกลุ่มคนที่มีรายได้ครัวเรือนไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 3.5 ล้านบาท)มีความกังวลเรื่อง FOBO ถึง 27% ขณะที่กลุ่มรายได้ครัวเรือนตั้งแต่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีขึ้นไป กลับมีความกังวลเพียง 17% เท่านั้น ด้านผลของการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี พบว่าพนักงานอเมริกันส่วนใหญ่ 31% กลัวว่าจะทำให้สวัสดิการของตนลดน้อยลง 24% เกรงว่าจะถูกลดเงินเดือน 20% กลัวถูกเลย์ออฟ 19% กลัวถูกลดชั่วโมงทำงาน และ 7% กลัวว่าบริษัทจะย้ายตำแหน่งงานไปในต่างประเทศแทน
ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งความกังวลที่มากขึ้นปีนี้ของชาวอเมริกันส่วนหนึ่งอาจมาจากการพัฒนาทักษะของคอมพิวเตอร์จนสามารถลอกเลียนแบบทักษะภาษาของมนุษย์ หรือการปรากฏตัวของ ChatGPT ที่มีการพูดถึงกันอย่างมากและสะท้อนว่าระบบที่พัฒนาบนฐานของ AI ทำให้คนทำงานเห็นความเปลี่ยนแปลงว่าสิ่งที่คอมพิวเตอร์ทำได้ไม่ใช่แค่ “หุ่นยนต์” ในโรงงานหรือคลังสินค้าอีกต่อไปแล้ว แต่ยังพัฒนาไปถึงขั้นมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ยกระดับความสามารถมากขึ้น ทำงานได้หลากหลายและยังทำงานที่เกี่ยวกับทักษะภาษาได้ ซึ่งจุดนี้เองที่จะกระทบกับงานนั่งโต๊ะออฟฟิศได้เช่นกัน
จากความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พนักงานที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเริ่มมีความกังวลว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้อาชีพการงานตัวเองเป็นไปอย่างไร แม้ว่าปัจจุบันก็ยังมีไม่ถึง 1 ใน 4 ของพนักงานที่คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นภัยต่ออาชีพ ส่วนใหญ่ยังรู้สึกในเชิงบวกต่ออนาคตด้านการงานของตนเองอยู่ แต่ในระยะต่อไปตำแหน่งงานที่ทำอยู่อาจจะสั่นคลอนก็เป็นได้
ขณะที่ประเทศอินเดียกลับมีปรากฏการณ์ที่ดูย้อนแย้งกัน เมื่อแรงงานIT จบใหม่ในอินเดียเสี่ยงว่างงานหลายแสนคน ทั้งที่ประเทศมีบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติจำนวนมากเข้ามาตั้งฐานการผลิต โดยพบว่าอัตราการว่างงานโดยรวมของชาวอินเดียเพิ่มขึ้นมาที่ 10.05% ในเดือนต.ค. 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี โดยพบว่าอัตราการว่างงานสำหรับคนอายุ20-24 ปี ในอินเดียอยู่ที่ 46.6% ส่วนการจ้างงานด้าน IT ในอินเดียลดลง 43% ในเดือนก.ย. และลดลง 14%ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เรื่องนี้อาจสวนทางกับที่หลายคนคิด เพราะอินเดีย ที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก มีบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติแห่เข้ามาตั้งฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็น Apple, Amazon,Google, HP, IBM แต่แรงงานหนุ่มสาว IT ของอินเดียกลับเสี่ยงตกงานหลายแสนคน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบคือช่วงการระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้คนออกจากบ้านไม่ได้ตามมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการระบาด ธุรกิจเทคโนโลยีออนไลน์จึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด เหล่าบริษัท IT ในอินเดียต่างพากันขยายกิจการ โดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศอย่าง Tata Consultancy Services และ Infosys ได้จ้างเด็กจบใหม่มากกว่า 284,000 คน ในช่วงโควิด-19
แต่ในปัจจุบัน สงครามรัสเซียบุกยูเครนได้จุดไฟเงินเฟ้อไปทั่วโลก ธนาคารกลางหลายประเทศพากันขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อปราบเงินเฟ้อนั่นหมายถึงต้นทุนดอกเบี้ยทางธุรกิจและการกู้ยืมสูงขึ้นด้วย บรรดาผู้ประกอบการจึงขึ้นราคาสินค้าและบริการตาม จนส่งผลให้ลูกค้าชะลอการบริโภค ซ้ำร้าย กระแสเทคโนโลยีเอไอ ที่สามารถเขียนโค้ดขั้นพื้นฐานตามคำสั่งมนุษย์ ได้เข้ามาแทนที่พนักงาน IT จบใหม่ ปัจจัยรุมเร้าเหล่านี้ ทำให้เหล่าบริษัท IT อย่าง Infosys และ Wipro ชะลอการจ้างเด็กจบใหม่ การจ้างงานด้าน IT ในอินเดียลดลง 43% ในเดือนก.ย. และลดลง 14% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
แม้ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานในอินเดีย อาทิ Google บริษัทเสิร์ชเอนจิ้นระดับโลก ได้ย้ายการผลิตมือถือ Google Pixel มาที่อินเดีย เช่นเดียวกับ Apple ที่พึ่งพาอินเดียเป็นฐานผลิตสินค้าอย่างมือถือ iPhone เพื่อกระจายความเสี่ยงจากจีน Microsoftบริษัทเจ้าของโปรแกรม Microsoft Office ลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล, HP บริษัทผลิตฮาร์ดแวร์ไอที IBM ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ระดับโลก ให้บริการด้านระบบคอมพิวเตอร์ในอินเดีย และยังเป็นบริษัทที่วางระบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ให้กับทำเนียบประธานาธิบดีอินเดีย
แต่ถึงกระนั้น อัตราการว่างงานสำหรับคนอายุ 20-24 ปี ของอินเดียก็ยังขึ้นแตะที่ 46.6% ดังนั้น ภาวะว่างงานในวัยหนุ่มสาวของอินเดีย ได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญ แม้กระทั่งแรงงานหนุ่มสาวด้าน IT ในอินเดียอาจต้องยกระดับฝีมือปัจจุบันให้สูงกว่าขั้นพื้นฐานเพราะในปัจจุบันความสามารถด้านพื้นฐานไม่เพียงพออีกแล้ว และกำลังถูกแย่งงานโดย AI เช่นกัน
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี