เด็กคือทรัพยากรสำคัญของโลกมนุษย์ ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันสร้างสรรให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และเนื่องจากเป็นช่วงเกี่ยวเนื่องกับวันเด็กแห่งชาติ จึงชวนคุยประเด็นการใช้ยาในเด็กให้ปลอดภัยสูงสุด แม้เราจะรู้ว่าการเจ็บป่วยในเด็กเป็นเรื่องปกติ และจำเป็นต้องใช้ยา แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากๆ คือ เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ หรือผู้ใหญ่ย่อส่วนอวัยวะบางอย่างของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ การใช้ยาจึงต้องมีข้อควรระวังที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
การกำหนดว่าอายุเท่าใดคือเด็ก ในทางการแพทย์มักตัดที่ 12 ปี อย่างไรก็ตาม เรายังมีคำนิยามเพิ่มเติมอีก ได้แก่ คำว่าทารก หมายถึง ตั้งแต่คลอดจนถึง อายุ 1 ขวบ ส่วนอายุ 1-5 ขวบ เรียกว่าเด็กเล็ก และเด็กโตคือ 6-12 ปีขึ้นไปส่วนอายุ 13-18 ปี ก็คือช่วงวัยรุ่น ช่วงวัยต่างๆ ของเด็กและวัยรุ่นนั้น ร่างกายยังคงเปลี่ยนแปลง และเติบโตไม่เต็มที่ก็ยังถือว่าเป็นวัยที่ต้องระมัดระวังการใช้ยาเช่นกัน ดังนั้นถ้าจะให้ปลอดภัยจริงๆ ก่อนใช้ยาต้องได้รับคำแนะนำการใช้ยาจากแพทย์ หรือเภสัชกรเสมอ
การกำหนดขนาดยาในเด็กนอกจากดูที่อายุแล้ว ยังต้องพิจารณาน้ำหนักตัวร่วมด้วย และด้วยเหตุที่เด็กโตขึ้นทุกวัน การที่เราทราบน้ำหนักของเด็กก่อนให้ยาจึงเป็นเรื่องสำคัญหรืออย่างน้อยเวลาไปร้านยา เภสัชกรมักจะถามน้ำหนักเด็กอยู่เสมอ ร้านยาจึงจำเป็นต้องมีเครื่องชั่งน้ำหนัก เพื่อการคำนวณขนาดยาที่แม่นยำ
ยาที่ถูกใช้บ่อยๆ ในเด็ก ได้แก่ ยาลดไข้บรรเทาปวดยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยาแก้แพ้แก้หวัด ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาลดกรด ยาแก้ท้องเสีย ยาโรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นโรค หรืออาการที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ดังนั้นจึงมีโอกาสมากๆ ที่เด็กจะใช้ยาจำพวกบรรเทาอาการบางอย่างเพียง 2-3 มื้อหรือ 2-3 วันแล้วอาการป่วยดีขึ้น จึงมียาที่ใช้ไม่หมดเหลืออยู่ ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ ยาที่เปิดใช้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งยาน้ำ ไม่สามารถเก็บไว้ใช้ต่อจนถึงวันหมดอายุบนภาชนะบรรจุได้ เพราะมีโอกาสที่เชื้อโรคจะปนเปื้อนลงไป
ดังนั้น โดยทั่วไปยาบางชนิดจะระบุว่าหลังเปิดใช้แล้ว ยามีอายุนานแค่ไหน แต่หลายชนิดไม่ได้ระบุ ทุกครั้งที่เปิดขวดยาควรเขียนวันที่เปิดขวดไว้ด้วย และหากผ่านจากวันที่เปิดขวดไปแล้วเกิน 3 เดือน ก็ต้องทิ้งยานั้นไป ส่วนกรณียาฆ่าเชื้อในรูปแบบผงที่ต้องผสมน้ำก่อนใช้ มักมีอายุจำกัดประมาณ 7-14 วันหลังผสม และโดยทั่วไปแล้วเราไม่ควรมียาฆ่าเชื้อเหลือเก็บ เนื่องจากควรต้องกินจนหมด เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียดื้อยา
ข้อควรระวังสำหรับยากลุ่มนี้คือหลังจากผสมเป็นยาน้ำแล้ว บางชนิดต้องเก็บในตู้เย็น แต่หากไม่มีระบุไว้ในฉลาก ก็ไม่ควรเก็บยาใดๆ ไว้ในตู้เย็น
อีกประเด็นคืออุปกรณ์สำหรับบริหารยาให้เด็ก ปกติหน่วยตวงยาเด็กมักเป็นช้อนชา ซึ่งเท่ากับ 5 ซีซี หรือ 5 มิลลิลิตร ซึ่งช้อนชาสำหรับตวงยานี้ควรใช้จากที่ได้รับมาจากโรงพยาบาลหรือร้านยาเท่านั้น ไม่ควรใช้ช้อนชาตามบ้านเพราะขนาดไม่ได้มาตรฐาน ปริมาณยาที่ได้อาจสูงหรือต่ำเกินไป สำหรับเด็กที่กินยาจากช้อนไม่ได้ อาจป้อนยาด้วยกระบอกฉีดยา (syringe) หรืออีกกรณีที่จำเป็นต้องป้อนยาตวงยาด้วยกระบอกฉีดยา คือขนาดยาที่ต้องให้เด็กไม่สามารถให้ด้วยช้อนชาได้ เช่น ต้องกินครั้งละ 4 ซีซี เป็นต้น
สำหรับประเด็นสุดท้ายที่ฝากไว้คือ การผสมยาน้ำเด็กกับนม น้ำ หรือเครื่องดื่มอื่นในขวดนม เพื่อให้เด็กกินง่ายๆ นั้น ไม่แนะนำให้ทำ เพราะยาอาจเข้ากันไม่ได้กับเครื่องดื่มนั้นๆ และอีกปัญหาหนึ่งคือเด็กอาจจะกินยาไม่หมดทำให้ได้ยาไม่ครบขนาดการใช้ยา กรณีที่เด็กกินยาชนิดนั้นไม่ได้จริงๆ อาจจะต้องพิจารณาเปลี่ยนเป็นยายี่ห้ออื่นที่แต่งรสแตกต่างกันหรือเปลี่ยนเป็นตัวยาชนิดอื่นแทน
จึงแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร เมื่อเด็กจำเป็นต้องใช้ยา ผู้ปกครองจำเป็นต้องละเอียดรอบคอบ ควรมีข้อมูลจำเป็น เช่น อายุ น้ำหนัก ประวัติแพ้ยา โรคประจำตัวและยาอื่นๆ ที่กำลังใช้อยู่ให้แก่แพทย์หรือเภสัชกรอย่างครบถ้วน เมื่อได้รับยาแล้วยังมีเรื่องการเก็บรักษา การให้ยา ที่ต้องระมัดระวังอีกหลายประการ ดังนั้น หากผู้ปกครองมีข้อข้องใจหรือคำถามเกี่ยวกับการใช้ยาในเด็ก ในกรณีไม่ฉุกเฉินสามารถสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทาง line @guruya
รศ.ภญ.ดร.ณัฎฐดา อารีเปี่ยม รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี