“สังคมสูงวัย” หมายถึงสังคมที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) แบ่งภาวะสังคมสูงวัยออกเป็น 3 ระดับ คือ 1.สังคมสูงวัย (Aging society) หมายถึง มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ 2.สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged society) หมายถึง มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 หรือมีคนอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ
และ 3.สังคมสูงวัยอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หรือสังคมสูงวัยระดับสุดยอด หมายถึง มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งข้อมูลจาก กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (โดยอ้างอิงสถิติของ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย) ณ เดือนธันวาคม 2566 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 13,064,929 คน คิดเป็นร้อยละ 20.08 จากประชากรสัญชาติไทยทั้งหมด 65,061,190 คน ดังนั้นเท่ากับว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง “จำนวนเด็กเกิดใหม่ของไทยก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง” เมื่อดูสถิติของกรมการปกครอง ช่วงปี 2536-2539 จำนวนเด็กเกิดใหม่อยู่ที่เฉลี่ยปีละ 9 แสนคน ช่วงปี 2540-2560 ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 7-8 แสนคน และช่วงปี 2561-2566 อยู่ที่เฉลี่ยปีละ 5-6 แสนคน ขณะที่ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ช่วงปี 2506-2526 ไทยเคยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่อยู่ที่เฉลี่ยปีละ 1 ล้านคน
นักวิชาการที่ติดตามสถานการณ์สังคมสูงวัย รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่ ณ วันที่ 18 ม.ค. 2567 ว่า หลายคนมักเข้าใจว่าสังคมสูงวัยหมายถึงสังคมของผู้สูงอายุ แต่จริงๆ หมายถึงการที่ประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เด็กเกิดใหม่ลดลงและคนวัยทำงานมีน้อยลง
อีกทั้งการเกิดของเด็กมักอยู่ในครัวเรือนที่ไม่พร้อม ดังคำกล่าวว่า “คนพร้อมไม่ท้อง..คนท้องไม่พร้อม” ซึ่งในอีก 12 ปีข้างหน้าไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมาจะมีปัญหาด้านคุณภาพ และคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะต้องจ่ายภาษีเพื่อดูแลประเทศ คำถามคือแล้วคุณภาพของประเทศจะเป็นอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นคนรุ่นใหม่ยังต้องดูแลพ่อแม่ที่อายุยืนขึ้น อย่างในปี 2513 คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 59 ปี แต่ปัจจุบันผู้หญิงอายุขัยเฉลี่ย 79 ปีส่วนผู้ชายอยู่ที่ 77 ปี เท่ากับอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้นถึง 20 ปี และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
ซึ่งการที่คนอายุยืนขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น แต่โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น คนที่จะรับภาระหนักที่สุดคือเด็กที่จะเกิดมารวมถึงคนที่อยู่ในปัจจุบันที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี เพราะเป็นคนวัยหนุ่ม-สาวที่ต้องจ่ายภาษี เป็นคนเลี้ยงดูพ่อแม่ หรืออาจไปถึงปู่ย่าตายายหากยังมี
ชีวิตอยู่ ยิ่งหากมีลูกด้วยก็จะยิ่งหนักขึ้นอีก ปัญหาจะหนักมากหากไม่มีการเตรียมระบบรองรับผู้สูงวัยตั้งแต่วันนี้ เพราะการปรับโครงสร้างประชากรไม่ใช่เรื่องง่าย
ทั้งนี้ คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่จะทำอย่างไรให้เกิดมาแล้วเลื่อนเวลาแก่ออกไปให้ช้าและใกล้เวลาตายที่สุดเพื่อให้ช่วงเวลาเจ็บนั้นสั้น ซึ่งสามารถทำได้ เช่น แต่เดิมเรานิยามคำว่าแก่คืออายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะอายุขัยเฉลี่ยคนในอดีตคือ 59 ปี ดังนั้นหากถามว่าปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 79 ปี ให้นับอายุ 80 ถือว่าแก่ได้หรือไม่ สำหรับตนมองว่า “ไม่ต้องนำอายุมานับ แต่ให้ตั้งนิยามใหม่ไปเลย คำว่าแก่หมายถึงคนที่พึ่งพาตนเองไม่ได้ หรือต้องพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น” แต่หากยังเดินได้ ไปทำงานได้ สุขภาพดีในระดับหนึ่ง จะอายุ 80 หรือ 90 ก็ยังไม่เรียกว่าแก่
“เอาความจริงของสังขารดีกว่า ถ้าคุณจับคอนเซ็ปต์นั้นได้ เราจะยืดแก่ได้อย่างไร ไม่ใช่ยืดอายุ จะยืดแก่ได้อย่างไร ก็คือทำให้ตัวเองพึ่งพาตัวเองได้ยาวขึ้นไปจนใกล้ตาย แล้วให้เจ็บสั้น คราวนี้พึ่งพาตัวเองเรื่องอะไรบ้าง หนึ่งคือเรื่องเศรษฐกิจ เพราะถ้าคุณหยุด คุณแก่ แล้วคุณต้องไปพึ่งลูกแล้วคุณ เศรษฐกิจไม่สามารถทำงานได้ยาวขึ้น คุณต้องพึ่งคนอื่นเร็วขึ้นใช่ไหม ทำอย่างไรที่คุณพอทำงานต้องทำให้ยาวขึ้น อันนั้นประการที่หนึ่ง พอทำงานยาวขึ้นจะพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ไม่เหงาไม่เฉาด้วย ไม่ต้องรอ 600 บาท (เบี้ยผู้สูงอายุ)” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า “สิ่งที่รัฐต้องทำคือให้ทุกคนมีอาชีพสำรอง” เพราะปัจจุบันอาชีพที่ทำกันอยู่สามารถหายไปได้ง่ายๆ หรือเมื่อกำลังวังชาลดลงอาชีพบางอย่างก็ทำไม่ได้ ดังนั้นรัฐควรส่งเสริมให้คนมีอาชีพสำรอง แต่ไม่ใช่การไปอบรมว่าอาชีพสำรองนั้นเรื่องอะไร เพราะไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตอาชีพใดจะยังอยู่หรือหายไป จึงต้องให้แต่ละคนเป็นคนเลือกอาชีพสำรองของตนเอง โดยมีรัฐช่วยสนับสนุนการหาอาชีพสำรองนั้น เช่น ลดค่าใช้จ่ายในการหา ดังนั้นการแจกเงินจึงไม่ใช่แจกให้บริโภค แต่ต้องให้นำเงินนั้นไปใช้ฝึกทักษะหรือเรียนรู้ที่จะมีอาชีพสำรอง
อย่างไรก็ตาม “เมื่อถึงวันหนึ่งคนก็ต้องหยุดทำงาน ก็ต้องพึ่งตนเองจากการออมตั้งแต่ยังเป็นวัยทำงาน” เพื่อให้ในวันที่หยุดทำงานจะนำเงินออมนั้นออกมาใช้จนกว่าจะตาย เพราะสมัยนี้จะหวังพึ่งลูกก็ยาก หวังพึ่งรัฐก็ไม่เพียงพอ อาทิ หากหยุดทำงานตอนอายุ 60 โดยคาดว่าจะตายตอนอายุ 80 ปี (คำนวณตามอายุขัยเฉลี่ย) หากจะใช้เงินเดือนละ 2 หมื่นบาทก็ต้องมีเงินออม 5 ล้านบาท หรือหากจะใช้เงินเดือนละ 4 หมื่นบาท ก็ต้องมีเงินออม 10 ล้าน เป็นต้น การออมจึงต้องทำตั้งแต่เริ่มทำงาน ไม่ใช่ไปออมตอนแก่
แต่ในความเป็นจริงของคนไทยคือคิดกลับกัน คนไทยยึดการบริโภคเป็นตัวตั้ง หากรายได้ไม่พอก็กู้แล้วค่อยไปผ่อนส่ง แต่หากคิดเรื่องสังคมสูงวัย ต้องเอาการออมเป็นตัวตั้ง สัดส่วนเงินออมต้องตายตัว มีรายได้เท่าไรต้องหักเงินออมไปก่อนคิดถึงเรื่องการบริโภค ยิ่งเตรียมตัวเร็ว ปรับวิธีคิดเร็วเท่าไรยิ่งดี ดังนั้นการพูดถึงสังคมสูงวัยอย่าไปคิดถึงคนแก่ แต่ต้องคิดถึงคนหนุ่ม-สาวที่จะต้องเตรียมตัวที่จะพึ่งตนเองได้ยาวขึ้น โดยสรุปการเตรียมตัวเรื่องเศรษฐกิจ คือทำให้คนทำงานได้ยาวขึ้นรัฐส่งเสริมทักษะการทำงานในอนาคต และมีเงินออม
“มีระบบสวัสดิการสำหรับทุกคน แต่สวัสดิการนี้จะต้องให้แต่ละคนที่จะได้สวัสดิการร่วมจ่าย เวลาคุณไปซื้อสินค้า ปัจจุบัน VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) 7% ถ้ารัฐขอเพิ่ม 3% ใส่อยู่ในชื่อแต่ละคนเลย ใครซื้อมากได้มาก แต่ยังไม่ให้ตอนนั้น พออายุมากขึ้นระดับหนึ่ง จะ 65 จะ 70 อะไรก็แล้วแต่ เงินนั้นสะสมรวมกันทั้งหมดเท่าไร รัฐเติมให้อีกเท่าตัว เพราะรัฐเอาเงินนั้นไปเป็นกองทุนหมุนเวียนไปลงทุนต่อเงินนั้นก็จะทยอยให้เป็นบำนาญกับเรา ก็เหมือนประกันสังคม เป็นเงินบำนาญให้เราทุกเดือน ไม่ต้องรอ 600 700 1,000 บาท
แล้วก็จะมีคำถามว่าแบบนี้คนรวยก็ได้เยอะสิ ส่วนคนซื้อของน้อยก็ได้น้อย1.มันก็เงินของเขา ก็เขาเป็นคนจ่าย ถูกหักไว้เอง 3% 2.ถ้าคุณคิดว่าบางคนที่รวย ซื้อรถยนต์ทีหนึ่งเป็นล้าน 3% มันก็เยอะ แล้วรัฐจะไปเติมให้เยอะทำไม คุณก็ Cap (กำหนดยอด) ไว้สิ แต่ละคนให้ได้ไม่เกินเท่าไร มีเพดานที่จะให้ เพราะฉะนั้นคนรวยเราก็เอาเงินที่ได้มานั้นเอาไปช่วยคนจนดีกว่า คนจนเราก็เติมให้เยอะ คนรวยเราก็เติมให้น้อย มันก็จะลดช่องว่างได้อีก ตรงนี้ถ้าลองคิดให้ดีมันจะช่วยระบบสวัสดิการ เป็นสวัสดิการสำหรับทุกคน” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า “วิธีการนี้จะทำให้รัฐบาลรู้ว่าใครคือคนจน” เพราะคนจนจะจับจ่ายใช้สอยน้อย เมื่อเห็นยอดสะสมจนถึงวันที่ต้องจ่ายบำนาญ หากมียอดน้อยรัฐก็เติมให้คนกลุ่มนี้มากขึ้นได้ “ระบบนี้ทำควบคู่ไปกับประกันสังคมเดิมได้” แต่ความท้าทายคือ “ที่ผ่านมาไม่มีรัฐบาลชุดใดกล้าปรับ VAT จาก 7% เป็น 10%”ถึงกระนั้นตนยืนยันจากการสำรวจมาแล้วว่า“ถ้าเพิ่ม 3% แล้วเก็บในชื่อแต่ละคน ประชาชนจะเอาด้วย” เพราะเป็นเงินที่ประชาชนเก็บเองและได้ใช้เองในยามสูงวัย
หรืออีกแนวทางหนึ่ง “ในเมื่อเราไม่สามารถทำให้คนเลิกเล่นหวยได้ คนที่เล่นก็ควรได้อะไรกลับมาบ้างแม้ไม่ถูกรางวัล”ซึ่งตนเสนอแนะว่า “สลากกินแบ่งรัฐบาลทุกใบที่ไม่ถูกรางวัล ให้รัฐจ่ายเงินคืนผู้ซื้อสลากในจำนวน 10 บาทต่อใบ ออมไว้จ่ายเป็นบำนาญในอนาคต” จากราคาสลาก 80 บาทต่อใบ ระบบนี้สามารถทำได้เพราะปัจจุบันคนซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังกันมาก
อนึ่ง ในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการริเริ่มก่อตั้ง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นกองทุนภาคสมัครใจ เปิดโอกาสให้คนที่อยากออมสมัครส่งเงินเข้ามาแล้วรัฐก็เติมให้อีกส่วนหนึ่ง แต่การออมโดยสมัครใจไม่ได้รับความนิยม ดังนั้นเงินจากการเก็บ VAT เพิ่มร้อยละ 3 หรือเงิน 10 บาทต่อใบจากสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ไม่ถูกรางวัล ให้นำมาใส่ใน กอช. คนที่ไม่เคยรู้จัก กอช. ก็จะเข้ามาสมัคร
นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ “สภาพแวดล้อม” ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตในยุคสังคมสูงวัย ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า “รัฐต้องลุกขึ้นมาปรับสภาพแวดล้อมทั้งประเทศ” เพราะต้องไม่ลืมว่า“ไม่ว่าประชากรวัยใดก็ตาม การพลัดตกหกล้มมีความเสี่ยงที่จะทำให้กลายเป็นคนที่พึ่งพาตนเองไม่ได้” โดยปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มเฉลี่ย 4 คนต่อวัน ตัวอย่างจุดเสี่ยง เช่น ทางต่างระดับหรือห้องน้ำไม่มีราวจับ(หรือมีแต่ไม่จับ) พื้นลื่น ปรับโถส้วมแบบชักโครกสูงและมีราวจับด้านข้างเพื่อช่วยพยุงเวลาจะลุกขึ้น เพราะผู้สูงอายุกำลังขาไม่ค่อยดี เป็นต้น
ขณะเดียวกัน “หลายคนยังพยุงผู้สูงอายุไม่ถูกวิธี” เช่น จับบริเวณใต้รักแร้หรือคล้องที่แขนท่อนบน แบบที่เรียกว่า “หิ้วปีก” ซึ่งจริงๆ ร่างกายคนเรามีน้ำหนักมากพอสมควร เมื่อผู้สูงอายุล้มก็จะดึงร่างผู้พยุงร่วงไปด้วยกัน “วิธีที่ถูกต้องคือให้จับบริเวณเข็มขัดด้านหลัง” เพราะเป็น “จุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity)”จะช่วยพยุงได้ หรือไม่เช่นนั้น “ผู้พยุงก็ต้องเป็นฝ่ายให้ผู้สูงอายุจับแขน (ไม่ใช่ผู้พยุงไปจับแขนผู้สูงอายุ)” เพราะผู้สูงอายุจะจับจังหวะของตนเองได้ว่าเมื่อใดร่างกายเซ ส่วนผู้พยุงก็จะเป็นเหมือนไม้เท้า
“อาจจะต้องลุกขึ้นมาปรับสภาพแวดล้อม ทั้งบ้าน ทั้งอาคารสาธารณะ ถนนหนทางทั้งหลาย เพื่อที่จะให้ลดการพลัดตกหกล้มทั้งหลาย จะทำให้ช่วยชาวบ้านได้เยอะ คราวนี้วิธีการง่ายๆ คุณจะทำอย่างไรให้ท้องถิ่น อบจ. อบต. เทศบาล ระดมช่างชุมชนแล้วให้แต่ละบ้านออกวัสดุ เอาช่างชุมชนซึ่งคนไทยมีฝีมือช่างเยอะไปลุย และขณะเดียวกันรัฐช่วยให้อาจารย์ที่มีความรู้งานวิจัยด้านนี้ มาดูว่าแบบที่จะช่วยออกแบบให้มันเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุและใช้กับคนทุกฝ่ายได้ เป็น Universal Design (อารยสถาปัตย์) ได้ จะทำอย่างไร” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
จากบ้านและอาคาร “ถนนและทางเท้า” ก็ต้องปรับวิธีคิดในการก่อสร้าง เพราะปัจจุบันการทำถนนเน้นเพื่อรถยนต์ไม่ใช่เพื่อคนเดิน “ทางเท้าเมืองไทยเหมือนเดินป่า” มีทั้งพื้นต่างระดับขึ้น-ลง เพราะต้องมีทางเข้า-ออกบ้านหรืออาคาร หรือเดินแล้วต้องหลบเสาไฟฟ้า การขายสินค้าทั้งแบบแผงลอยและร้านค้าที่เป็นอาคารแล้วนำสิ่งของมาตั้งวางบนทางเท้า จึงเป็นอุปสรรคในการเดินทางของผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้รถเข็น
ประการที่ต่อมา “มิติด้านสุขภาพ” มีสิ่งที่หากทำได้ก็จะช่วยให้แต่ละคนอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี ดังนี้ 1.การนอน (Sleep) ต้องได้ทั้งปริมาณ (7-8 ชั่วโมง) และเวลา 2.การกิน (Eat)ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าคืออาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ 3.ออกกำลังกาย (Exercise) อย่าบอกว่าไม่มีเวลา เพราะการบอกว่าไม่มีเวลาหมายถึงการจัดลำดับความสำคัญของการออกกำลังกายไว้หลังสุด (ไม่ต่างจากการออมที่หลายคนจัดลำดับไว้หลังการบริโภค) โดยควรออกกำลังกายตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่ม-สาว และ 4.สังคม (Social)ต้องอยู่ในสังคมที่ดี
ขณะเดียวกัน “ระบบดูแลระยะกลาง (Intermediate Care)” จะช่วยลดปัญหาผู้ป่วยล้นจนโรงพยาบาลแออัดได้มาก โดยปกติเมื่อคนเราเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาล เมื่อรักษาหายแล้วก็กลับมาอยู่บ้าน แต่ระบบดูแลระยะกลางจะเป็นตัวช่วยในเบื้องต้น เพราะอาการเจ็บป่วยบางอย่างสามารถฟื้นฟูได้โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรือผู้ป่วยที่รักษาอาการหลักในโรงพยาบาลแล้วก็สามารถมาเข้ารับการฟื้นฟูได้ที่นี่ ศูนย์ฟื้นฟูจะมีการทำกายภาพบำบัด แพทย์แผนไทยด้วยการนวด แพทย์แผนจีนด้วยการฝังเข็มรวมถึงมีกิจกรรมบำบัด
ตัวอย่างศูนย์ฟื้นฟูหรือระบบการดูแลระยะกลาง เช่น “ศูนย์ฟื้นฟูสารภีบวรพัฒนา” อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นอกจากจะมีบริการฟื้นฟูร่างกายและการทำกิจกรรมร่วมกันของผู้สูงอายุแล้ว ยังส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มาดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งก็จะได้เรียนรู้เพื่อเตรียมตัว และเมื่อกลับบ้านไปก็จะช่วยดูแลผู้สูงอายุที่บ้านได้ หรือ “ศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุและคนพิการ” อ.โพธาราม จ.ราชบุรี มีการนำรถกอล์ฟมาใช้รับ-ส่งผู้สูงอายุ มีกิจกรรมสวดมนต์และร้องเพลงร่วมกัน จากนั้นแยกกลุ่มไปทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่สนใจ เช่น วาดเขียน หัตถกรรม ทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
“คนที่มีความสุขไม่ใช่แต่เพียงผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมร่วมกัน ลูกที่บ้านมีความสุขผมไปถามลูกที่บ้านว่าคิดอย่างไร โอ๊ย!วันไหนที่เขาไปเขามีความสุข หนูก็มีความสุข มีเวลาทำงาน หนูได้พัก ไม่เช่นนั้นพ่ออยู่-แม่อยู่ เที่ยวนี้หนูจะได้ทำความสะอาดบ้าน ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ที่โพธารามแรกๆ เขาเริ่มสัปดาห์ละวัน โห! คนชอบมากก็เลยเพิ่มเป็นจันทร์-พุธ-ศุกร์ในที่สุด อย่างนี้เป็นตัน” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม “การที่รัฐไทยไม่กระจายอำนาจอย่างเต็มที่คืออุปสรรคสำคัญในการเกิดศูนย์เหล่านี้” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ เล่าถึงการไปพบผู้นำท้องถิ่นที่ จ.ราชบุรี ได้รับทราบว่า “รถกอล์ฟที่ได้รับบริจาคมา ถ้าใช้งบท้องถิ่นซ่อมก็มีความผิดเพราะไม่มีหน้าที่” เป็นภาพสะท้อนว่า “ส่วนกลางเป็นคนกำหนดว่าอะไรทำได้-ไม่ได้” ท้องถิ่นจะทำอะไรต้องเขียนโครงการขอให้ส่วนกลางอนุมัติ
ทั้งที่หลักคิดควรกลับกัน “ท้องถิ่นต้องทำได้เกือบทุกเรื่อง เว้นไว้เพียงบางเรื่องเท่านั้นที่ไม่ให้ทำ” เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้สอดคล้องกับสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ “เหนือ-กลาง-ใต้-อีสาน แต่ละพื้นที่มีปัญหาแตกต่างกัน” โดยสิ่งที่ไม่อนุญาตให้ท้องถิ่นทำ ในมุมมองของตนมี 3 เรื่อง คือ 1.การพิมพ์ธนบัตรหรือมีสกุลเงินของตนเอง 2.การมีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง และ 3.การมีศาลตัดสินคดีความของตนเอง
“หลังจากที่ผมไปเป็นประธาน (ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนสังคมสูงวัยไทยอายุยืน) ที่คุณจุติ (จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์-ในขณะนั้น) ก็ปรากฏว่าในที่ประชุมนั้นมีคนจากกระทรวงมหาดไทย แล้วก็มีกระทรวงอื่นอยู่ ผมก็บ่นเรื่องนี้แล้วก็บ่นกระทรวงมหาดไทยว่าอันนี้จะแก้ไขอย่างไร สิ่งที่เขาแก้ไปแล้ว ก็ดีขึ้นนะต้องชม คือเขามอบหมายอำนาจให้กับท้องถิ่นให้ทำเรื่องนี้ด้วย แต่ยังสูตรเดิมคือจะให้ทำเรื่องอะไร ไม่ใช่ให้ทำทุกเรื่อง ไม่ถึงกับต้องบอกก่อน เขาบอกเลยว่าถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ เรื่องเกี่ยวกับผู้สูงวัยให้มีหน้าที่ที่ทำ เพราะเขาเห็นแล้วว่ามีปัญหาในอนาคต ก็ดีขึ้น แต่ยังไม่ได้หลักการของการกระจายอำนาจ” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
หมายเหตุ :สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอดสุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น. !!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี