แต่คำถามที่ว่า “เศรษฐกิจ ณ เวลานั้นดีหรือไม่?” ก็เป็นสิ่งที่ “ตอบยาก” อีก อย่างในประเทศไทย ในขณะที่รัฐบาลมักยกตัวเลข “ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP)” มาใช้อ้างอิง และหลายครั้งรัฐบาล (รวมถึงผู้สนับสนุนรัฐบาลชุดนั้น) ก็บอกว่าเศรษฐกิจไม่มีปัญหา แต่ในทางกลับกัน ในการสำรวจความคิดเห็นจากสำนักโพลล์ต่างๆ รวมถึงการออกไปเดินถนน-เข้าตลาดสอบถามประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ ก็มักจะได้ยินเสียงบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดีเสมอ
รายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์”ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 ชยงการ ภมรมาศ อาจารย์คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร อธิบายปรากฏการณ์ “ความเห็นที่ไปกันคนละทาง” เช่นนี้ ว่า หากดูค่า GDP หรือมูลค่าการผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดในประเทศ หากจะให้ทุกคนยอมรับร่วมกันว่าเศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤต ก็ต้องให้ GDP ถดถอย หมายถึงมูลค่าการผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดถดถอย ง่ายๆ คือเราจนลง ยกตัวอย่างคือวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540
ในขณะที่ ณ ปัจจุบันคือปี 2566-2567 แม้ GDP ยังไม่ถึงขั้นถดถอย แต่ก็โตไม่เต็มศักยภาพ หรือโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น หากตอบด้วยภาษาวิชาการ ขณะนี้อาจไม่วิกฤตในภาพรวมแต่เมื่อดูทีละภาคส่วนของสังคมก็มีทั้งคนที่รู้สึกว่าวิกฤตและไม่วิกฤต อย่างบางธุรกิจเล่าว่าตั้งแต่เริ่มประกอบกิจการมา เพิ่งมาโตเป็นประวัติการณ์ในปี 2566-2567 เช่น นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งก็ตามที่เห็นในข่าวคือมีนักธุรกิจจำนวนมากสนใจลงทุนทำให้นิคมฯขายพื้นที่ได้มาก
แต่ในทางกลับกัน หากไปดูธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยในบางอุตสาหกรรม เขาก็บอกว่าแย่แล้ว สายป่านจะหมด โดยสรุปคือ “เศรษฐกิจไทยขณะนี้ภาพรวมไม่วิกฤต แต่บางจุดมีปัญหา” ก็ขึ้นอยู่กับว่าไปถามใคร เช่น หากถามแรงงานถูกลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา (OT) เพราะทำงานในอุตสาหกรรมที่ส่งออกสินค้าได้น้อยลงก็จะบอกว่าวิกฤต แต่หากไปถามชาวไร่อ้อยที่ปีนี้ราคาน้ำตาลแพงเป็นประวัติการณ์ เขาอาจบอกว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสุขที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ได้
“ไปถามคนขายบ้าน อาจจะบอกว่าปีนี้ขายยาก ดอกเบี้ยแพงแบงก์ไม่ค่อยอนุมัติสินเชื่อ ปีนี้ถามคนขายบ้านบอกว่าเป็นปีที่เหนื่อย แต่ในทางกลับกัน ถ้าขายบ้านที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ขายแถวๆ โรงเรียนอินเตอร์ เขาอาจจะบอกว่าเขาขายไวนะ เปิดโครงการปิดเร็ว แต่คนขายบ้านหลังละ 1-2 ล้าน อาจจะบอกว่าลูกค้าไปกู้แบงก์ไม่ผ่านอีก แม้จะเป็นธุรกิจบ้านเหมือนกัน แต่อยู่ตรงไหน ราคาเท่าไร” ชยงการ กล่าว
ชยงการ ให้ข้อสรุปว่า เมื่อถามว่าวิกฤติหรือไม่ เป็นเรื่องยากมากหากจะตอบโดยใช้ความรู้สึก โดยตนมองว่า หากวันนี้เราโยงเรื่องวิกฤต หากถามตนก็คงให้ดูก่อนว่าตรงไหนเป็นวิกฤตแล้วตรงนั้นแก้ไขอย่างไร ตนไม่ได้มองว่าหากบอกว่าเป็นวิกฤตแล้วทั้งประเทศต้องแย่ทั้งหมด เพราะมีบางกลุ่มที่ไม่เป็นอะไร แต่สำหรับกลุ่มที่มีปัญหาก็ต้องมุ่งเน้นไปแก้ตรงนั้น
คำถามต่อมา “ดอกเบี้ยธนาคารควรจะเป็นอย่างไร?” หลังจากที่เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวบรรดาธนาคารพาณิชย์ในไทยได้กำไรสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่ง ชยงการ อธิบายว่า “ดอกเบี้ยนโยบาย” คือดอกเบี้ยระหว่าง ธปท. กับธนาคารพาณิชย์ในขณะที่ประชาชนคนทั่วไปจะเจอดอกเบี้ยอีกแบบหนึ่ง เช่น เมื่อคนคนหนึ่งเดินทางไปกู้เงินที่ธนาคาร จะเจอคำว่า “MLR” หมายถึงดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี หรือหากเป็นลูกค้ารายย่อยจะเป็นคำว่า “MRR” อัตราดอกเบี้ยก็จะสูงกว่า MLR ขึ้นมา
ระดับหนึ่ง
แต่ดอกเบี้ยนโยบายถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” จาก ธปท. (หรือแบงก์ชาติ-ธนาคารกลางของประเทศ) ว่าจะมีนโยบายดอกเบี้ยในทางปรับขึ้นหรือลง อย่างในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 รุนแรง เวลานั้น ธปท. ก็ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ปัจจุบันปรับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.5 เป็นการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางถึงธนาคารพาณิชย์ว่า ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น จากนั้นธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งก็จะไปปรับดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ของตนเอง
ส่วนคำถามที่ว่า “ธนาคารมีรายได้จากอะไร?” หลักๆ คือ “ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้” และโดยทั่วไป “ดอกเบี้ยเงินฝากจะต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้” เช่น ธนาคารให้ดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 2 แต่เรียกดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 8 ส่วนต่างคือร้อยละ 6 และนี่คือรายได้ของธนาคาร ถึงกระนั้น “รายได้นี้ยังไม่อาจเรียกว่ากำไรได้เสียทีเดียว เพราะธนาคารเองก็มีต้นทุน” เช่น การวางระบบการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ (Internet Banking หรือ Digital Banking) การตั้งสำนักงาน การจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ฯลฯ
รวมถึง “หนี้เสีย” เป็นสิ่งที่ธนาคารทุกแห่งในโลกล้วนต้องเคยเจอ ไม่มีธนาคารใดที่สามารถเก็บหนี้จากผู้ขอกู้ได้ครบถ้วนทุกคน และไม่ใช่เฉพาะดอกเบี้ย ในบางครั้งแม้แต่เงินต้นที่ให้กู้ไปก็ไม่ได้กลับคืนมาอย่างครบถ้วน “รายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ได้มาถูกนำไปใช้เป็นต้นทุนเหล่านี้ก่อน เหลือเท่าใดจึงค่อยถือเป็นกำไร” อย่างไรก็ตาม “ปัจจุบันธนาคารก็ไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะการให้กู้เงิน” แต่ยังมีด้านอื่นๆ เช่น ขายกรมธรรม์ประกันภัย เป็นต้น
“ถามว่ามีกำไรไหม? มี! แล้วแบงก์ไทยสุขภาพค่อนข้างแข็งแรง เราต้องยอมรับว่าหลังจากปี 2540 ยังไม่เคยเห็นภาพของวิกฤตการเงินใหญ่ๆ ฉะนั้นผมเองก็มองว่าธนาคารเขาก็ทำธุรกิจตามปกติของเขา ก็ต้องแสวงหากำไร หาความมั่นคง กำไรมาก-น้อย ในทางกลับกันถ้าไปมองเรื่องของภาษานักการเงิน ก็คือเอาเงินของเจ้าของมาลงทุนแล้วสร้างผลตอบแทน ของไทยไม่ได้สูงจนน่ากังวล ต้องใช้คำนี้ ธุรกิจเขามีความเสี่ยงนะ หมายถึงมาทำธุรกิจธนาคาร ทีนี้ถ้าวิเคราะห์ต่อว่าแล้วดอกเบี้ยตอนนี้ควรจะขึ้นหรือลง จะได้ยินนักเศรษฐศาสตร์หลายคนพูดคำว่าดอกเบี้ยที่แท้จริง
คำว่าดอกเบี้ยที่แท้จริง ง่ายๆ ดอกเบี้ยลบเงินเฟ้อ เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของราคาสินค้าและบริการ สมมุติฝากเงินแบงก์ได้ดอกเบี้ย 2% เงินเฟ้อ 1% เท่ากับเหลือ 1% นั่นคือดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 2% ลบเงินเฟ้อ 1% นั่นคือหักเรื่องเงินเฟ้อออก บังเอิญประเทศไทยตอนนี้ถ้าติดตามข่าว เงินเฟ้อมันลดลงต่อเนื่อง จริงๆ บางช่วงเงินเฟ้อติดลบ ผมก็ยังไม่เรียกเงินฝืดอีก หลายคนงงอีกว่าเงินเฟ้อติดลบดีหรือไม่ดี ต้องบอกก่อนว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ชอบเงินเฟ้อติดลบ ถ้าเงินเฟ้อติดลบมาจากการลดลงของกำลังซื้อ” ชยงการ ระบุ
นักวิชาการผู้นี้ ขยยายความเพิ่มเติมในประเด็นดอกเบี้ย เงินเฟ้อและกำลังซื้อ ว่า เงินเฟ้อหรือที่หมายถึงราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น มาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.คนมีเงินมากขึ้น เท่ากับคนมีกำลังซื้อสูงส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้น 2.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เช่น ช่วงที่ราคาน้ำมันแพง ผู้ประกอบการก็ต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ “ปัจจุบันเงินเฟ้อติดลบไม่ได้มาจากการที่คนจนลงหรือกำลังซื้อถดถอย แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายช่วยเหลือประชาชนด้านค่าครองชีพ” เช่น ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ช่วยอุดหนุนค่าไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนส่วนนี้ลดลง เงินเฟ้อบางส่วนจึงทยอยปรับลดลง
ดังนั้นการที่มีนักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งบอกว่าเวลานี้ดอกเบี้ยสูงเกินไป ก็มาจากการคำนวณโดยใช้สูตรดอกเบี้ยลบเงินเฟ้อ เช่น ดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. อยู่ที่ร้อยละ 2.5 สมมุติเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ -0.5 เท่ากับดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ร้อยละ 3 จึงเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา แต่จริงๆ แล้ว ดอกเบี้ยของไทยที่เป็นตัวเงินยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศ แต่บังเอิญว่าเงินเฟ้อไทยก็ต่ำกว่าประเทศเหล่านั้นด้วย
ต่อคำถามที่ว่า “หากดอกเบี้ยที่แท้จริงลดต่ำลง ธนาคารจะได้ลดต้นทุนลงหรือไม่” เช่น ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ลบด้วยเงินเฟ้อร้อยละ 1 ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่เพียงร้อยละ 1 ชยงการ กล่าวว่า “ไม่เชิงเป็นแบบนั้น” ธนาคารพาณิชย์มีธุรกรรมกับธนาคารกลาง แต่แหล่งระดมทุนหลักๆ ของธนาคารคือการรับฝากเงินที่อิงกับดอกเบี้ยเงินฝาก อย่างไรก็ตาม หากธนาคารกลางลดดอกเบี้ยนโยบายให้ ดอกเบี้ยเงินฝากก็จะค่อยๆ ปรับลดลง นั่นก็หมายถึงต้นทุนของธนาคารในส่วนของเงินฝากจะลดลง
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือพอแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบายสักพักหนึ่ง ธนาคารก็จะทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก อาจจะต้องดูว่าสภาวะการแข่งขันแย่งเชิงเงินฝากขณะนั้นเป็นอย่างไร แต่ทิศทางหลังจากแบงก์ชาติลดก็เป็นสัญญาณว่าก็คงทยอยลด มันไม่ได้เป็นอัตโนมัติว่าพอแบงก์ชาติลดปุ๊บพรุ่งนี้มะรืนนี้ทุกแบงก์ต้องลง แล้วก็อาจจะปรับลดลงไม่เท่ากับที่แบงก์ชาติลดให้ก็ได้ เหมือนรอบนี้แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย แต่การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติไปที่ดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ก็ไม่ได้ไปแบบในอัตราที่เท่าเทียมกัน อย่างรอบนี้ดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยขึ้นน้อยกว่ารายใหญ่ด้วยซ้ำในการส่งผ่าน” ชยงการ กล่าว
ยังมีคำถามที่เกี่ยวข้องอีกว่า “มีมาตรฐานหรือไม่ว่าส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ควรเป็นเท่าไร?” ประเด็นนี้ ชยงการ ระบุว่า “ไม่มีใครกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว” เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความเสี่ยงหนี้เสีย (NPL) ต้นทุนการดำเนินการ โดยลูกหนี้แต่ละคนจะได้รับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน เช่น บริษัทใหญ่ความน่าเชื่อถือสูงได้แบบหนึ่ง บุคคลธรรมดาทั่วไปก็จะได้อีกแบบหนึ่ง
และแม้จะเป็น “ธนาคารของรัฐ” ก็ต้องดู “วัตถุประสงค์ของธนาคารแต่ละแห่ง” โดยหากเป็นธนาคารที่ตั้งมาเพื่อดูแลประชาชนระดับฐานรากจริงๆ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน แบบนี้ก็ควรมีนโยบายตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้ไม่สูงจนเป็นภาระของผู้ขอกู้มากนัก แต่ขณะเดียวกันรัฐก็ต้องมีนโยบายสนับสนุนธนาคารประเภทนี้ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบ “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยกับต่างประเทศในปีนี้” นักวิชาการจาก ม.เทคโนโลยีมหานคร ผู้นี้ มองว่า หลายคนคิดว่าปี 2567 จะดีกว่าปี 2566 โดยเฉพาะการฟื้นตัวจองภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในระยะสั้นหากพบว่าในปี 2567 ไทยฟื้นตัวเร็วกว่าอีกหลายประเทศก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะช่วงก่อนหน้านี้ประเทศอื่นๆ เขาฟื้นจากสถานการณ์โควิด-19 ไปก่อนแล้ว
แต่สิ่งที่ตนอยากให้ความสำคัญคือ “ระยะยาว” เพราะต้องยอมรับว่า “หลายเรื่องประเทศไทยน่ากังวล” ไล่ตั้งแต่ 1.โครงสร้างประชากร ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงส่งผลให้คนวัยทำงานรุ่นต่อๆ ไปมีน้อยลง2.คุณภาพการศึกษา เมื่อวัดผลเทียบกับต่างประเทศก็เห็นภาพความถดถอยลงเรื่อยๆ 3.อุตสาหกรรมไม่สอดคล้องกับความต้องการของโลกยุคใหม่ เช่น บางประเทศที่ไม่ไกลจากไทย เป็นประเทศเกิดใหม่จึงเข้าสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ได้เร็ว ในขณะที่อุตสาหกรรมไทยในแบบเดิมๆ นั้นอยู่มานาน
ดังนั้นหากถามว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรในระยะยาว ตนมองว่า “หากประเทศไทยยังผลิตแต่ของเดิมๆ ขายของแบบเดิมๆ เราก็จะโตช้าไปแบบนี้เรื่อยๆ” แต่หากวันนี้เกิดความตระหนักและเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ตอบโจทย์อนาคต ตนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น เช่น อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สามารถเก็บและประมวลผลข้อมูลได้สูง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันไทยยังมีอุตสาหกรรมประเภทนี้น้อย
ชยงการ ยกตัวอย่าง “ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)” เป็นกระแสที่มาแรงมากในปัจจุบัน แต่เมื่อดูแวดวงยานยนต์ในประเทศไทย ซึ่งจากฉายา “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ก็ยืนยันได้ชัดว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งมาก อย่างไรก็ตาม “เราอยู่กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) หรือเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันมายาวนานหลายสิบปี” แต่เมื่อกระแสโลกกำลังหันไปสู่ยุค EV ไทยก็ต้องปรับตัวตาม
เช่น สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จนระยะหลังๆ ยอดขาย EV ก็เพิ่มขึ้น สามารถพบเห็นบนท้องถนนได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน เมื่อผู้ผลิต EV ได้สิทธิพิเศษทางภาษี รัฐบาลไทยก็มีเงื่อนไขว่าต้องเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย นโยบายแบบนี้ควรผลักดันอย่างต่อเนื่องและไม่ใช่เฉพาะแต่ยานยนต์ไฟฟ้า
อาทิ สหภาพยุโรป (EU) มีกฎหมายใหม่ที่เรียกว่า “CBAM” ที่จะเก็บภาษีในอัตราสูงมากสำหรับสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ดังนั้นประเทศไทยก็ต้องเตรียมเรื่องแหล่งพลังงานสะอาด ซึ่งกระทรวงพลังงานของไทยก็เริ่มขยับกันบ้างแล้ว “แต่การปรับเปลี่ยนต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล” ไม่ใช่เริ่มทำวันนี้แล้วจะเห็นผลเพียงไม่กี่เดือน โดยสรุปแล้ว ในระยะสั้นหากไม่มีสถานการณ์อะไรรุนแรงเป็นพิเศษเกิดขึ้น เศรษฐกิจไทยปี 2567 น่าจะดีกว่าปี 2566 เพียงแต่ยังไม่ใช่จุดที่ประเทศไทยควรพอใจ
“ปีนี้ควรจะลงทุนเพิ่มไหม เป็นคำถามที่ง่ายแต่ตอบยากคำตอบคงต้องดูก่อนว่าในจุดที่เราอยู่ ในอุตสาหกรรมหรือการค้าขายที่เราทำ เราคิดว่าความต้องการในปีนี้เป็นอย่างไรแต่ถ้าผมอยู่ในภาคท่องเที่ยว ผมคิดว่าคนมาท่องเที่ยวประเทศไทยจะเยอะขึ้นอย่างปีที่แล้ว ถ้าถามผมว่าควรจะลงทุนเพิ่มไหม ควรจะลงทุน แต่ขณะเดียวกันถ้าทำเต็นท์รถมือสอง คงพอเห็นว่าราคารถมือสองตกลงเยอะเลย ผมว่าต้องคิดถึงเรื่องสภาพคล่องตัวเองเยอะๆ นะ
ผมว่าต้องดูว่าเราทำอะไร เฉกเช่นเดียวกัน สมมุติว่าผมทำโรงเรียน เด็กเกิด (น้อย) แบบนี้ ผมน่าจะสร้างตึกใหม่ไหมอันนี้ต้องคิดแล้ว แต่ถ้าผมทำโรงเรียนอินเตอร์ล่ะ ผมว่าต้องดูก่อน ถ้าอุตสาหกรรมที่เราอยู่มีแนวโน้มที่จะเติบโต ผมคิดว่าปีนี้ลงทุนได้ แต่ถ้าเกิดเราอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีปัญหาอันนั้นเราก็ต้องระวัง และยิ่งระวังเรื่องสภาพคล่อง เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้ในการปล่อยกู้ธนาคารก็มีความระมัดระวัง” อาจารย์ชยงการ ฝากข้อคิด
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี