“นี่คือสระโอะ (เอา ก ไก่ มาใส่) อ่านว่า ก-โอะ-โกะ, นี่คือสระโอะ (เอา จ จาน มาใส่) อ่านว่าจ-โอะ-โจะ”
คลิปวีดีโอ “นี่คือสระ โอะ เอา .. มาใส่ | ครูนกเล็ก” ความยาว 1.40 นาที บนเว็บไซต์ยูทูบ ผลงานของ “ครูนกเล็ก” จีรภัทร สุกางโฮงครูประจำโรงเรียนบางมด(ตันเปาว์วิทยาคาร) ชวนลูกสาว “น้องพอใจ” มาสอนการสะกดคำ ซึ่งนอกจากคลิปนี้ที่ว่าด้วย “สระโอะ”แล้วยังมีคลิปสอนสะกดคำด้วยสระอื่นๆ โดยทุกคลิปมีการทำดนตรีให้มีจังหวะสนุกสนาน เด็กๆ สามารถฟังแล้วจดจำได้ง่าย
และต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” อย่างมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ครูนกเล็ก เป็นครูภาษาไทยและทำคลิปวีดีโอเผยแพร่สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย มานานกว่า 10 ปีแต่จริงๆ แล้ว “แม่พิมพ์สายยูทูบเบอร์” ผู้นี้ไม่ได้จบเอกภาษาไทย หากแต่จบเอกดนตรีศึกษา (ดนตรีไทย) ซึ่งปัจจุบันช่องยูทูบ ครูนกเล็ก มียอดการติดตามกว่า 9.5 ล้าน แถมยอดคนดูในแต่ละคลิปเฉลี่ยหลักหมื่นถึงหลักแสนเลยทีเดียว
รายการ “แนวหน้า Talk” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2567 ครูนกเล็ก-จีรภัทร พาน้องพอใจ มาบอกเล่าที่มาที่ของการทำคลิปวีดีโอจนกลายเป็นยูทูบเบอร์คนดังโดย ครูนกเล็ก เล่าว่า ทำช่องยูทูบมาแล้ว 12 ปี ส่วนจุดเริ่มต้นของการเป็นครูภาษาไทยทั้งที่ไม่ได้จบมาทางด้านนี้เนื่องจากครูภาษาไทยท่านเดิมเกษียณอายุราชการไปและไม่มีครูภาษาไทยท่านใหม่มาแทน จึงได้รับมอบหมายให้มาช่วยสอน และเอาจริงๆ จุดประสงค์เดิมของการทำคลิปวีดีโอคือไว้ดูกันเองในครอบครัว โดยใช้กล้องวีดีโอของสามีที่เป็นคนชอบถ่ายภาพ-ถ่ายวีดีโออยู่แล้ว
กระทั่งเมื่อได้โอนย้ายจากโรงเรียนเดิมที่บรรจุเป็นครูครั้งแรก มายัง รร.บางมด ซึ่งอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น คราวนี้ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยสอนวิชาวิทยาศาสตร์ และมีระเบียบให้ต้องส่งสื่อการสอน ซึ่งสื่อวีดิทัศน์ดิจิทัลถือเป็นของใหม่ในสมัยนั้น จึงหยิบสถานการณ์มาวางเป็นบทละครแล้วชวนนักเรียนมาร่วมแสดง โดยให้สามีเป็นคนตัดต่อ แล้วนำคลิปไปอัปโหลดฝากไว้บนเว็บไซต์ยูทูบ เผื่อที่จะใช้เมื่อใดก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องเล่น VCD, DVD
“คลิปโฆษณาขายสารส้ม ตอนนั้นล้อเลียนละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพ แล้วมันตลก แล้วเอาไปแชร์กันมาเป็นภาษาไทยตอนเราทำมาเรื่อยๆ ก็สอนวิชาภาษาไทยเริ่มมาประจำชั้น ป.1 แล้ว เราก็รู้สึกว่าอยากให้เด็กเขาสนุกและมีส่วนร่วมกับภาษาไทย แล้วเราก็เอามาทำเป็นเพลงครูสอนภาษาไทย เพลงเด็กในตำนานหรืออะไรอย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมาเราก็จับคอนเทนต์เรื่องสอนภาษาไทยมาตลอด” ครูนกเล็ก เล่าย้อนจุดเริ่มต้นของการทำคลิปวีดีโอ
นอกจากจะมีลูกสาวอย่างน้องพอใจมาร่วมทำคลิปวีดีโอแล้ว ในบางคลิปครูนกเล็กยังไปชวนคุณแม่มาร่วมสนุกด้วย โดยแม่จะไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด เช่น เมื่อแม่เข้ากรุงเทพฯ มาหาหมอ ก็จะมาเยี่ยมหลานและพักที่บ้าน “กิจกรรมนี้ยังเป็นการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวและลดช่องว่างระหว่างวัย” ซึ่งจะเห็นคุณแม่แต่งตัวเป็นนักเรียน ออกท่าออกทางในคลิปวีดีโอด้วย และผู้สูงอายุก็น่าจะชอบที่ลูกหลานให้ความสำคัญ
ส่วนคลิปวีดีโอสอนการสะกดคำ ครูนกเล็ก ระบุว่า เพิ่งทำได้เพียงไม่กี่เดือน แต่แยกทำเป็นคลิปสั้นๆ คลิปละ 1 สระ เพราะต้องยอมรับว่าการทำให้จดจ่อดูอะไรนานๆ นั้นไม่ค่อยได้ จึงทำเป็นคลิปสั้น สื่อสารอย่างตรงประเด็นและดูสนุก ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการทำคลิปวีดีโอเผยแพร่ อย่างแรกต้องวางเป้าหมายก่อน คลิปที่เราทำต้องการสื่อสารเรื่องอะไร สื่อสารกับใคร เนื้อหาก็ต้องให้ตรงประเด็น และต้องเริ่มต้นจากความชอบของตัวเราก่อนว่าอยากนำเสนอเรื่องใด ส่วนความยาวของคลิป ตนมองว่า 1-2 นาที ก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็ก แล้วค่อยมีเนื้อหาของเราขยายเข้าไป
“ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้คนกล้าแสดงออกมากขึ้นคนชอบที่จะถ่ายวีดีโอ ถ่ายคลิปมากขึ้น แต่ก็ต้องดูด้วยว่าคุณชอบแบบไหน บางคนอาจจะถนัดชอบถ่ายนำเสนอเรื่องราวของตัวเอง ก็ต้องดูว่าคุณต้องการนำเสนอเรื่องอะไร อยากจะให้คนดูเป็นแบบไหน เป้าหมายของเราเป็นใคร อย่างถ้าถามในมุมมองของครูนกเล็ก ก็มองคอนเทนต์เรื่องการศึกษา ก็เป็นส่วนหนึ่งเป็นหลัก สองเด็กดูแล้วก็ต้องสนุก สามก็ต้องปลอดภัยสำหรับเด็กด้วย”ครูนกเล็ก กล่าว
ครูนกเล็ก กล่าวต่อไปว่า ส่วนคำถามเรื่องจะสังเกตอย่างไรว่าเนื้อหาที่เราทำไปแล้วโดนใจหรือไม่ มีอะไรต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้าง ตนยอมรับว่าทุกวันนี้ก็ยังต้องเดาทางอยู่เพราะเด็กหรือคนดูเปลี่ยนไปตลอดเวลา ดังนั้น จึงไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นการทดลองทำ ซึ่งการศึกษาก็คือการเรียนรู้ เราก็ได้เรียนรู้ไปด้วย แต่อย่างในปัจจุบัน หากเป็นเนื้อหาที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก ที่ได้รับความนิยมคือคลิปการสอนภาษาไทย ว่าด้วยการผสมสระให้เป็นจังหวะ เพราะดูสนุก เข้าใจง่าย เด็กสามารถร้องตามได้
สำหรับประสบการณ์ที่ได้รับหลังเป็นครูสายยูทูบเบอร์มา 10 ปี สิ่งที่ได้สำหรับตนเองคือ 1.ฝึกทักษะการสื่อสารมากขึ้น 2.ฝึกการคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น 3.ฝึกการไตร่ตรองคิดล่วงหน้าก่อนลงมือทำมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบที่อาจตามมาให้น้อยที่สุด ขณะที่การชวนลูกสาวมาช่วยทำคลิป ตนก็ได้เห็นพัฒนาการของลูก ซึ่งลูกเป็นคนที่กล้าแสดงออกและมีความคิดสร้างสรรค์ และที่ประสบความสำเร็จคือทำให้ลูกมีใจใฝ่เรียนรู้ตามตนไปด้วย ซึ่งปัจจุบันลูกสาวถ่ายวีดีโอและตัดต่อเป็นแล้ว ตนไม่ต้องยัดเยียดอะไรให้ เขาอยากรู้อะไรก็ไปหาแหล่งเรียนรู้เองได้
“ประโยชน์เพื่อสังคม ครูนกเล็กมองว่าการทำคลิปของครูนกเล็ก แต่ละคลิปครูนกเล็กมีความตั้งใจแล้วก็อยากจะให้เกิดประโยชน์กับนักเรียน เกิดประโยชน์กับผู้ปกครอง โรงเรียนอื่นๆ ที่สามารถนำคลิปของเราไปใช้ประโยชน์ได้ อยากให้เด็กนักเรียนทุกคนอ่านออกเขียนได้ สนใจกลับมาเรียนหนังสือ” ครูนกเล็ก กล่าว
กล่าวถึงตรงนี้ ครูนกเล็ก ย้ำว่า “แม้ในยุคปัจจุบันก็ยังมีเด็กไทยที่อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้” อย่างลูกศิษย์ของตนก็มีเด็กที่ผสมคำไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะความพร้อมแต่ละคนไม่เหมือนกัน อีก 1-2 ปีผ่านไปอาจพร้อมมากขึ้นก็ได้ อาจต้องใช้วิธีย้ำๆ ซ้ำๆ กันบ่อยๆ ส่วนคำถามที่ว่า “วิธีการสอนสะกดคำนักเรียนรุ่นหลังๆที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั้นใช้การได้หรือไม่?” เช่น คำว่า “เรียน” ในอดีตจะสอนว่า “รอ-เอีย-นอ” แต่ปัจจุบันสอนว่า “เอ-รอ-อี-ยอ-นอ” ตนมองว่าก็ไม่ผิดอะไร เพราะคนเราสามารถเรียนรู้ได้หลายวิธี แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือเด็กอ่านหนังสือออก
สำหรับโรงเรียนบางมด (ตันเปาว์วิทยาคาร) เป็นโรงเรียนของรัฐ สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งอยู่ที่แขวางบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ เป็นโรงเรียนประถมศึกษาสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ป.6 ซึ่งครูนกเล็กเล่าว่า ทำงานที่นี่มาตั้งแต่ปี 2555 สอนวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์เป็นหลัก มีไปช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษและสังคมศึกษาบ้าง ปัจจุบันครูที่ รร.บางมด มีทั้งหมด 22 คน
จากเรื่องการทำคลิปวีดีโอสื่อการเรียนการสอนจนกลายเป็นยูทูบเบอร์ยอดผู้ติดตามหลักล้าน ในช่วงท้ายของรายการยังมีการพูดคุยกับครูนกเล็กในหลายประเด็นเกี่ยวกับ “ชีวิตความเป็นครู” ไล่ตั้งแต่ 1.ครูเวร ซึ่งหลังจากเกิดกรณีครูถูกทำร้ายร่างกายขณะอยู่เวรในโรงเรียน ที่ จ.เชียงราย รัฐบาลได้ออกประกาศยกเลิกการทำหน้าที่ครูเวรประจำโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ครูนกเล็ก กล่าวว่าในวันหยุดหากเป็นเวลากลางวันก็ยังมีครูเวรอยู่ แต่จุดมุ่งหมายคือให้มีครูอยู่ประจำไว้หากมีกรณีผู้มาติดต่องาน แต่ในช่วงกลางคืนได้ยกเลิกการทำหน้าที่ครูเวรแล้ว
“อันนี้เข้าใจมุมมองผู้บริหาร เข้าใจคุณครูด้วย เพราะว่าวันเสาร์-อาทิตย์คุณครูก็อยากจะหยุดอยู่บ้าน พักผ่อนกับครอบครัว ก็เข้าใจ แต่ด้วยบริบทก็เข้าใจในทางผู้บริหาร ก็กลัวว่าเดี๋ยวมีคนมาติดต่อทางราชการ ก็จะไม่มีคนอยู่เพื่อติดต่อประสานงาน ใน 1 เดือนก็จะเวียนๆ กัน ก็ตกประมาณครู 1 คน ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมจะอยู่ที่เดือนละ 1 วัน อันนี้เฉพาะตอนกลางวันอย่างเดียวตอนกลางคืนตอนนี้ยกเลิกแล้วเพราะว่ามี รปภ. เพิ่งสั่งยกเลิก แต่ก่อนหน้านี้ก็น่าสงสาร อันนี้ครู กทม. ต่างจังหวัดไม่ทราบนะ แต่ใน กทม. ก็คือครูผู้ชายจะอยู่เวรกลางคืน ถ้ามีครูผู้ชายแค่ 2 คน ก็ต้องสลับทุกวัน” ครูนกเล็ก ระบุ
ประการต่อมา 2.การพัฒนาศักยภาพของครูครูนกเล็ก ให้ความเห็นว่า การจัดอบรมยังมีอยู่ แต่มองว่ายังไม่ได้ตามจุดประสงค์ของครูที่ต้องการไปอบรม 3.ภาระหนี้สินครู เรื่องนี้เข้าใจได้เพราะการทำสื่อการเรียนการสอน วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ครูออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไมโครโฟน ปรินเตอร์ กระดาษ หมึก ฯลฯ บางอย่างเบิกได้แต่บางอย่างก็เบิกไม่ได้ หรือแม้เบิกได้ก็ได้เพียงบางส่วน เช่น กระดาษ
4.การสนับสนุนครัวเรือนที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งระยะหลังๆ พบครัวเรือนมีลักษณะเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวมากขึ้นเนื่องจากการหย่าร้าง โดยครูนกเล็ก คาดการณ์ว่า ในกรุงเทพฯ น่าจะมีครัวเรือนประเภทนี้มากถึงร้อยละ 70 ขณะที่สถานการณ์ในกรุงเทพฯ นักเรียนในโรงเรียนจะเป็นเด็กในพื้นที่จริงๆ เพียงร้อยละ 20-30 ที่เหลือจะเป็นเด็กที่ย้ายตามผู้ปกครองที่เป็นคนต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ หรือเด็กบางส่วนอยู่กับปู่ย่าตายายไม่ใช่พ่อแม่แต่ก็จะมีระบบช่วยเหลือ เช่น การเยี่ยมบ้าน ให้ทุนการศึกษาและประสานกับฝ่ายพัฒนาชุมชนของสำนักงานเขต
5.แรงกดดันทางเศรษฐกิจกับข้อจำกัดของผู้ปกครองในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน ประเด็นนี้ครูนกเล็ก กล่าวว่า เข้าใจเรื่องที่ทุกคนต้องทำงานหาเงินทำให้ไม่มีเวลาให้ลูก เด็กหลายคนมาโรงเรียน เลิกเรียนกลับบ้านไปยังไม่เจอพ่อแม่ด้วยซ้ำเพราะกว่าพ่อแม่จะกลับมาลูกก็หลับแล้ว “แต่การอบรมเลี้ยงดูเด็กต้องเชื่อมโยงกันระหว่างโรงเรียนกับบ้าน” ไม่ใช่ผลักภาระให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนหรือครูเพียงฝ่ายเดียว
“วินัยเริ่มจากที่บ้าน” ครูนกเล็ก-จีรภัทร ฝากทิ้งท้าย
หมายเหตุ :สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี