วีเอสที อีซีเอส เผยผลประกอบการปี 2023 รายได้รวมเฉียด 4 หมื่นล้านบาท พร้อมลุยเปิด Sale Office 11 จังหวัด มุ่งรุกคืบเข้าตลาดหัวเมืองทั่วไทย
บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันไอทีชั้นนำระดับโลกกว่า 70 แบรนด์ และเป็นบริษัทในเครือของวีเอสที อีซีเอส กรุ๊ป ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เผยผลประกอบการปี 2023 ฟันรายได้กว่า 38,000 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าลุยธุรกิจในทุกมิติ ทั้ง Device & Lifestyle, Consumer, Commercial และ Solutions มุ่งเพิ่มแบรนด์ผลิตภัณฑ์ พร้อมขยายสาขา Sale Office รุกตลาดต่างจังหวัดหัวเมืองทั่วไทย หวังสร้างบริการที่ตอบโจทย์ตลาดกลุ่ม B2B และ B2C ตั้งเป้าภายในปี 2024 นี้ยอดขายโตดับเบิ้ลดิจิต
นายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ในปีที่ผ่านมาแม้ว่ายอดขายจากฝั่งคอนซูเมอร์ของเราจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ แต่เรายังมีสินค้าจากฝั่งคอมเมอร์เชียลและเอนเตอร์ไพรส์ที่เป็นธุรกิจฐานใหญ่ของเราที่เข้าไปกินแชร์ในตลาดและมีการเติบโตที่ชัดเจน คิดเป็นสัดส่วน 55% ของบริษัท และเรายังมีหน่วยธุรกิจดีไวซ์แอนด์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งในส่วนนี้ คือ สมาร์ทโฟน, แก็ดเจ็ต, Smart Pet และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV ซึ่งธุรกิจนี้มีการเติบโตขึ้นถึงสองดิจิต ส่งผลให้ยอดขายในปี 2023 ที่ผ่านมาของบริษัทฯ มีมูลค่าเกือบ 4 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 10% และในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือประมาณ 10% เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ในการสรรหาและนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์เหมาะสมกับทุกธุรกิจตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่”
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กำลังเติบโตและเป็นกระแสที่กำลังมาแรงในขณะนี้ คือ รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ปัจจุบันบริษัทฯ มุ่งทำตลาดแบบ B2B โดยเริ่มนำร่องโปรเจคต์แรกกับทาง Grab นำส่งล็อตแรกจำนวน 3,000 คัน ให้แก่พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ ในโครงการเช่าขับ Grab EV ซึ่งได้รับการตอบรับจากเหล่าไรเดอร์เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วไปเริ่มมองเห็นว่ามีการใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นและมีศูนย์บริการ swab battery ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นความต้องการของตลาดอีกทางหนึ่ง โดยแผนการตลาดต่อไปเราจะเริ่มทำกับกลุ่ม B2C ในครึ่งปีหลังนี้
และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ยังได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม, บริษัท สตรอม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า สตรอม (STROM) และสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยในการสนับสนุนนโยบายภาครัฐ "โครงการ GreenWin (วินเขียว กทม.) เพื่อให้ผู้ขับขี่วินมอเตอร์ไซค์ หันมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยบริษัทฯ อำนวยความสะดวกในเรื่องการส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของแบรนด์ Strom ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตได้ 1,500 คันต่อเดือน พร้อมด้วยคุณสมบัติเด่น วิ่งได้ไกลถึง 120 กิโลเมตร และมีระบบ fast charge พร้อมทั้งได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์เปลี่ยนแบตเตอรี่และการมอนิเตอร์ติดตามรถเพื่อช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน”
ด้านนายธเนศ พันธ์สุขุมธนา รองประธานบริหาร กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของกลุ่มธุรกิจ Commercial ปี 2023 ที่ผ่านมา เติบโตค่อนข้างดีประมาณ 10% สำหรับปี 2024 นี้คาดว่าจะโตประมาณ 20% โดยมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ค, เซิร์ฟเวอร์และสตอเรจ การที่จะสร้างการเติบโตได้จะต้องอาศัยการทำการตลาดแนว Horizontal (Vertical Product) เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทางบริษัทฯ ได้สร้างทีมงานเฉพาะสำหรับรับผิดชอบส่วนนี้แล้ว และในส่วนของช่องทางการจำหน่ายจากลูกค้ารายใหญ่ลงสู่รายย่อย บริษัทได้เตรียมเน้นพัฒนาคนด้านการวางระบบเพื่อช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัทในอีกทางหนึ่ง”
นายบุญชัย อัศวชัยสุวิกรม ประธานฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวว่า “ธุรกิจในกลุ่ม Enterprise เราจะมี Project ใหญ่ที่ทำร่วมกับภาครัฐและเอกชน สำหรับปีนี้คาดว่าถ้างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ของทางรัฐบาลได้ผ่านการพิจารณา ในช่วงหลังสงกรานต์จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยบริษัทฯ ได้ขยายผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการเติบโต โดยได้เพิ่มแบรนด์สินค้าด้าน Cybersecurity อย่าง Sangfor จากเดิมที่ถือแบรนด์หลักอยู่ 4 ตัวคือ F5, Fortinet, Bitdefender และ Kaspersky เพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ คือ Power Management ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือก เช่น โซล่ารูฟ, อินเวอร์เตอร์ เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า แบรนด์ Fusionsolar, Trinasolar, TSUN, Longi และผลิตภัณฑ์อีกกลุ่มคือกลุ่ม CCTV เพื่อรองรับตลาดด้านการรักษาความปลอดภัยในกลุ่มโฮมยูสและภาครัฐบาล”
นางสาวคุณากร อินทร์แก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ผลิตภัณฑ์กลุ่มคอนซูเมอร์ กล่าวว่า “ธุรกิจกลุ่ม Consumer ปีนี้ตั้งเป้าที่จะโตสองดิจิต โดยมีการเพิ่มแบรนด์สินค้าเข้ามา อย่างโน้ตบุ๊คเดิมเรามี 5 แบรนด์หลัก ตอนนี้บริษัทฯ ได้เพิ่มแบรนด์ใหม่เข้ามา คือ msi เป็นตัวเกมมิ่งที่คาดว่าจะเติบโตได้เป็นอย่างดี อีกส่วนหนึ่งคือกระแสของ AI ที่จะเข้ามาในครึ่งปีหลังนี้ จะมีสินค้าเป็น AI CPU และสินค้าอื่น ๆ เข้ามาเสริมทัพ และจากการที่ในปีนี้บริษัทฯ ได้มีการขยายสาขาในรูปของ Sale Office ออกสู่ต่างจังหวัดทั่วไทยใน 11 จังหวัด ซึ่งเป็นการขยายในเชิงแนวกว้าง และเป็น Sub Warehouse กลุ่ม fast moving สามารถจัดจำหน่ายและส่งตรงให้กับลูกค้ารายย่อยในแต่ละจังหวัดได้ภายใน 3 ชั่วโมง เชื่อว่าจะช่วยเสริมธุรกิจกลุ่ม Consumer ในต่างจังหวัดได้มากขึ้น และเป็นการช่วยซัพพอร์ตให้สินค้าใน”
นายธนเสฏฐ์ โมระศิลปิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดผลิตภัณฑ์ดีไวซ์และไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า “จุดแข็งของความสำเร็จกลุ่มธุรกิจดีไวซ์แอนด์ไลฟ์สไตล์ของเรา คือ การสร้าง Coverage ให้มากขึ้น, ความเร็วในการดำเนินธุรกิจให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด และสุดท้ายผลิตภัณฑ์ต้องมีความหลากหลาย ส่งผลให้ตลาดสมาร์ทโฟนของเรามีการเติบโตที่โดดเด่นเพราะทางเวนเดอร์ช่วยซัพพอร์ตการทำราคาที่เหมาะสมให้กับตลาดเมืองไทยด้วย ปัจจุบันบริษัทถือครองสมาร์ทโฟนอยู่ทั้งหมด 7 แบรนด์ ซึ่งเราถือเป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวที่มีไลน์ผลิตภัณฑ์ครบและหลากหลายตรงตามความต้องการ ตั้งแต่ระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ไปจนถึงอัลตร้าโลว์คอส อาทิ Vertu, Samsung รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแมส อย่าง itel, Infinix, ZTE, Wiko เป็นต้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ให้น้ำ ให้อาหาร และเอนเตอร์เทน มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงซีซันนอล อาทิ ช่วงซัมเมอร์หรือช่วงปิดเทอม ตลาดดังกล่าวจะได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่บ้านเป็นส่วนมาก และคาดว่าตลาดดังกล่าวนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น ห้องน้ำแมวพร้อมตัวดับกลิ่น และล่าสุดห้องน้ำแมวที่มีตัวดับกลิ่นยังมาพร้อมกับกล้องวงจรปิด AI อัจฉริยะอีกด้วย
ในภาพรวมผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Device & Lifestyle มีการปรับตัวในทิศทางที่ดี คาดว่าในปี 2024 นี้จะมีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยการเติบโตของดีไวซ์ในกลุ่มสมาร์ทโฟนที่ 100% คาดว่าจะสร้างการเติบโตให้กับกลุ่ม Smart Pet ได้ถึง 4% ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ 1+n ที่สมาร์ทโฟน 1 เครื่องสามารถตอบโจทย์การเชื่อมโยงเข้ากับอุปกรณ์อื่น ๆ ในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลายนั่นเอง”
-(016)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี