สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2567หัวข้อ Stop Obesity, PreventingNCDs : The Move to New Ecosystemเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและควบคุมโรคอ้วนและโรค NCDs ซึ่งได้รวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมและมุ่งผลักดันเชิงนโยบายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะช่วงเสวนา “Bridging the gap for holistic obesity care in Thailand”ที่บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ (ประเทศไทย)จำกัด ให้การสนับสนุน ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วยนพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค, นพ.ศุภฤกษ์ สื่อรุ่งเรือง ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมบริการและสุขภาวะ กรมอนามัย, รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัยผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และคุณรชตะ อุ่นสุข ผู้อำนวยการควบคุมงานกฎหมาย กรมบัญชีกลาง ที่ร่วมอภิปรายไขปัญหาและหาแนวทางออกให้กับประเทศได้อย่างน่าสนใจ
นพ.ศุภฤกษ์ สื่อรุ่งเรือง ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมบริการและสุขภาวะ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดประเด็นจากผลสำรวจการรอบรู้ด้านสุขภาพของคนไทย (Health Literacy) ในปี 2566 จากกลุ่มคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพน้อยที่สุด ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองว่า “ความอ้วน” เป็นเพียงแค่รูปร่างหน้าตา ความสวยงาม หรือรูปลักษณ์ภายนอก มากกว่าที่จะมองว่าและเข้าใจว่า “ความอ้วน” คือ “โรค” และส่งผลต่อสุขภาพของตัวเองในระยะยาว ขณะที่บางรายอาจเริ่มกังวลถึงเรื่องสุขภาพเมื่อมีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจและจำเป็นต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า ทุกวันนี้ กรมควบคุมโรคได้สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคอ้วนให้กับคนไข้ NCDs Clinic และประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วย โดยได้มีการรณรงค์สร้างการรับรู้ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ว่า “ความอ้วน” คือโรคภัย ก่อให้เกิดความเสี่ยงและนำมาสู่โรคร่วมและโรคแทรกซ้อนอีกหลายโรค ซึ่งมี อสม. หลายแห่งที่มีการพัฒนาสู่รูปแบบในการลดน้ำหนักที่ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่า อสม. จะเป็นอีกพลังสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสุขของประเทศในระดับชุมชนท้องถิ่น
ปัจจุบัน กลุ่มบุคลากรด้านสาธารณสุขมีการรับรู้เรื่องโรคอ้วนมากขึ้น โดยใช้ตัว BMI เป็นตัวชี้วัดที่ผ่านมามีหลายโครงการที่พูดถึง “ความอ้วนกับภาวะอินซูลิน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่อยากให้สร้างความตระหนักรู้เพิ่มมากขึ้น คือ ความอ้วนกับอันตรายต่างๆ ที่จะตามมา เช่น ความอ้วนที่สัมพันธ์กับโรคมะเร็ง โดยต้องการให้มีการเผยแพร่และสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น ส่วนกรมควบคุมโรคเองก็ได้สนับสนุนให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อน ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทำงานจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ เน้นบูรณาการแบบองค์รวมเพื่อให้เกิดimpact มากขึ้นเช่นกัน
ด้าน รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล มองไว้2 ประเด็นหลักๆ ในการดูแลโรคอ้วน คือ1.การรับรู้ในเชิงทางคลินิก (clinical)มีการรับรู้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องว่าโรคอ้วนเป็นสาเหตุก่อให้มีโรคร่วม ทั้งเบาหวานไขมันในเลือดสูง ความดัน ซึ่งสัมพันธ์กับความอ้วน และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนเช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ภาวะปอดทำงานผิดปกติ ฯลฯ ซึ่งคนไข้ต้องปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงนั้นๆ ควบคู่กับการใช้ยา โดยแพทย์จะรักษาควบคู่กันไป แต่ก็พบปัญหายุ่งยากเพื่อให้คนไข้ลดน้ำหนักเนื่องจากต้องอาศัยสหสาขาวิชาชีพอย่างน้อย5 สาขาหลักๆ ที่มีส่วนร่วมในการรักษา อาทิ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด หมอกระดูก หมอหัวใจ หมอโรคปอดและทางเดินหายใจ เป็นต้น โดยต้องประสานและบริหารจัดการในการทำงานร่วมกันเป็นทีม
2.การจัดสรรงบประมาณ (Budget Allocation) มองว่า การรักษาโรคในกลุ่มเมทาบอลิก (Metabolic Syndrome) จะมียอดค่าใช้จ่ายสูง และค่ายาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และมักพบปัญหาในการเบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้หรือต้องสำรองจ่ายเอง ซึ่งอาจอยู่ในระบบสุขภาพที่ไม่ได้ครอบคลุมหรือเบิกได้ไม่เต็มจำนวน ก็จะกลายเป็นปัญหา เนื่องจากค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาในกลุ่มโรคดังกล่าวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ดังนั้นรัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการกับปัญหาโรคอ้วน
อย่างไรก็ตาม จากการอภิปรายร่วมกันสรุปว่า ภาครัฐควรแก้ปัญหาให้ตรงกุล่ม แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ
กลุ่มที่มีสุขภาพดี มีเงินคืน กลุ่มที่มีภาวะโรคที่สามารถจะช่วยตัวเองได้ ให้ความรู้และแนวทางการปฏิบัติ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ก็ต้องให้มีการเข้าถึงการรักษาและเข้าถึงยาให้ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี