โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่ได้มีแค่ชนิดเต้นเร็วเท่านั้น แต่ยังมีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเต้นช้าที่หลายคนมักมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วเป็นภาวะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน ทั้งนี้ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็จะสามารถรักษาให้หายได้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ศราวุธลิ้มประเสริฐ อายุแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดเฉพาะทางด้านสรีระไฟฟ้าหัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า หัวใจเต้นช้า (Bradycardia) เป็นภาวะที่หัวใจเต้นในอัตราช้ากว่าปกติ โดยมักจะน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที เมื่อหัวใจเต้นช้าเกินไป ย่อมส่งผลให้เลือดที่ส่งออกจากหัวใจมีปริมาณลดลง จนทำให้การส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอวัยวะสำคัญอย่างสมองและหัวใจ โดยทั่วไปมักจะไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่หากเกิดในผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุมักก่อให้เกิดอาการผิดปกติ
อาการผิดปกติที่พบได้ในผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นช้า ประกอบไปด้วย เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก เพลีย ใจสั่น วิงเวียนศีรษะ เป็นลมหมดสติ สับสน หลงลืมง่าย เสียสมาธิง่าย ทั้งนี้ ภาวะหัวใจเต้นช้ามักพบในผู้มีอายุมากกว่า 65 ปีแต่อาจจะพบได้ในผู้ป่วยอายุน้อยหากมีโรคร่วมหรือโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ ความสมดุลเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ, การติดเชื้อโรคหรือการอักเสบบางอย่าง, โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคหัวใจรูมาติก, การเสื่อมของกลุ่มเซลล์กระตุ้นการเต้นของหัวใจ (sick sinus syndrome), การนำกระแสไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ, และภาวะแทรกซ้อนจากยา การผ่าตัด หรือการฉายรังสี
อย่างไรก็ตาม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด เนื่องจากหากทราบว่าภาวะหัวใจเต้นช้าเกิดจากสาเหตุที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ย่อมทำให้ภาวะหัวใจเต้นช้าหายไปได้เช่นกัน โดยแนวทางการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจเต้นช้า แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และตรวจเลือดต่างๆ เพื่อหาสาเหตุในการเกิดหัวใจเต้นช้า อีกทั้งยังอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ ทางระบบหัวใจ ซึ่งขึ้นกับภาวะของผู้ป่วยด้วย
หากตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่าภาวะหัวใจเต้นช้าเกิดจากโรคหรือภาวะที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาโรคหรือภาวะดังกล่าว ซึ่งจะทำให้หัวใจกลับมาเต้นในอัตราปกติได้ แต่หากภาวะหัวใจเต้นช้าเกิดจากโรคหรือภาวะที่ไม่สามารถรักษาได้ หรือไม่สามารถรักษาให้หายขาด จะมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker Implantation) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอาการของผู้ป่วยหรือลดโอกาสเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงต่อไป
การรักษาด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ เป็นหัตถการเพื่อฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปในผนังหน้าอกใต้ผิวหนังของผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ โดยส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องที่ทำงานผิดปกติ สัญญาณไฟฟ้าจะช่วยให้หัวใจเต้นเร็วพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายและอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้มากเพียงพอ
การเตรียมตัวก่อนใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ มีดังนี้ ก่อนทำหัตถการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ ผู้ป่วยจะต้องงดยาตามที่แพทย์แนะนำ, งดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการรักษา8 ชั่วโมง, ผู้ป่วยจะได้รับการโกนขนบริเวณหน้าอกข้างที่จะใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ โดยส่วนมากแพทย์จะนิยมใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจในแขนข้างที่ผู้ป่วยไม่ถนัด
การปฏิบัติตัวหลังใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ มีดังนี้ เมื่อใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเข้าไปในร่างกายแล้ว ผู้ป่วยต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลปะมาณ 1-2 วัน และในช่วง 7 วันแรกไม่ควรยกแขนด้านที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจขึ้นสูงเหนือไหล่, หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก, หลีกเลี่ยงการถู กด หรือเกาบริเวณแผล, หลีกเลี่ยงการนวดหน้าอก, ห้ามยกของหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน,ในระหว่างพักฟื้นหากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม เหนื่อยหอบผิดปกติ สะอึกตลอดเวลา ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและตรวจสอบการทำงานของเครื่องและควรมาพบแพทย์ตามนัด เพราะจะได้รับการตรวจเช็คเครื่องอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ ได้แก่ ลมรั่วในเยื่อหุ้มปอดจากปลายเข็มที่ใช้เป็นตัวนำทางสายไฟโดนยอดปอด ซึ่งพบได้น้อย, ในระยะสั้น แผลบริเวณใส่เครื่องอาจมีอาการบวมช้ำ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาป้องกันเลือดแข็งตัวร่วมด้วย, สายกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเลื่อนหรือหลุดออกจากตำแหน่ง สามารถพบได้น้อยเนื่องจากมีการตรวจสอบหลายขั้นตอนก่อนเชื่อมต่อสายเข้ากับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ, การติดเชื้อของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจและสายไฟ มักมีปัจจัยเสี่ยงทางโรคประจำตัวบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงนี้ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะก่อนและหลังทำหัตถการ, ขณะที่ความเสี่ยงในระยะยาวต้องอาศัยการสังเกตร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ เพื่อความรวดเร็วในการตรวจพบและแก้ไขปัญหาหากมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี