เมื่อพูดถึง “การเมืองไทยในรอบ 2 ทศวรรษ”ล่าสุด ก็ต้องบอกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง “ขั้วอำนาจเก่า-อนุรักษ์นิยม” กับ “ขั้วอำนาจใหม่-ประชานิยม” ซึ่งฝ่ายหลังนั้นเริ่มตั้งแต่ยุค “พรรคไทยรักไทย” ภายใต้การนำของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำพรรคชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2544 และกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่นำพารัฐบาลให้อยู่ครบ 4 ปี ด้วยจุดขาย “ประชาธิปไตยกินได้” โดยมีกลุ่ม “รากหญ้า” ชนชั้นล่างและกลางค่อนล่างเป็นฐานเสียงสำคัญ
ซึ่งแม้ว่าอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลภายใต้การบริหารของทักษิณ ชินวัตร (รวมถึงยุคของน้องสาวอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จะมีปัญหาเรื่อง “ความโปร่งใส” หลายคนถูกดำเนินคดี ติดคุกบ้าง หลบหนีไปต่างประเทศบ้าง รวมถึงทักษิณเองก็มีคดีติดตัว ต้องหนีไปอยู่ต่างแดนตั้งแต่ปี 2551 ก่อนจะกลับมาประเทศไทยในวันที่ 22 ส.ค. 2567 และได้รับการลดโทษจำคุกจากเดิม 8 ปี เหลือ 1 ปี แต่ถึงกระนั้น ชื่อของทักษิณก็ยัง “ขายได้” การถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง และยุบพรรคอีก 2 ครั้ง จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรครุ่นที่ 3 คือ “พรรคเพื่อไทย” ไม่ได้ทำให้ขั้วการเมืองฝ่ายของทักษิณอ่อนแอลง เห็นได้เลือกตั้งทีไรก็ยังได้ที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มากที่สุดเสมอ
แต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อถึงการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 กับชัยชนะของ “พรรคก้าวไกล” พรรคการเมืองที่ก่อนหน้านั้นถูกปรามาสว่า “ได้แต่ปั่นกระแสในโลกออนไลน์” อย่างดีกคงได้เพียง สส.บัญชีรายชื่อกลับได้ที่นั่ง สส. มากที่สุด และได้มากกว่าพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม “ด้วยความที่พรรคก้าวไกลมีนโยบายที่แตกต่างไปจากขนบการเมืองไทยดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง”ดังนั้น “ภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น” นั่นคือ “การจับมือกันของขั้วอำนาจเก่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับขั้วอำนาจทักษิณ-ประชานิยม” เพื่อสกัดขัดขวางการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล
“ผมเชื่อว่าผู้ที่ดีล เหลี่ยมคูทางการเมืองอดีตนายกฯทักษิณ คือกระดูกห่างกันมาก คือความเป็นจริง คณะที่ดีลคือเหลี่ยมนี่เสียไปหมดแล้ว คือหมายความว่ากลยุทธ์ความเหนือชั้น จังหวะติ๊ดชึ่ง จังหวะลูกไม่แคร์ไม่สนใจ ส่วนที่ได้เอา-ส่วนที่เสียไม่ให้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์มันไม่เลยเถิด ความเป็นจริงมันต้องจบตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาฯ (2567) แล้ว แต่เจอความเขี้ยวที่เชี่ยวกว่านั้นก็ลากกันมาจนถึงวันนี้”
จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โฟนอินให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2567 ตั้งคำถามถึง “คณะดีล”หรือผู้ที่ไปเจรจากับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ว่า “คุ้มหรือไม่?” โดยเฉพาะหลังจากได้รับการพักโทษเมื่อช่วงกลางเดือนก.พ. 2567 ทักษิณก็เริ่ม “เดินสาย” ไปที่นั่นที่นี่ยังไม่ต้องนับภาพของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เดินทางไปพบและพูดคุย จนมีคำถามว่า “ตกลงแล้วประเทศไทยใครเป็นนายกฯ ตัวจริงกันแน่?” นี่คือความเสียหายที่เกิดขึ้น
จตุพร กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยที่ไม่แน่นอน ว่า จุดเริ่มต้นเป็นความผิดพลาดของขบวนการที่ไปเจรจาต่อรองกับอดีตนายกฯ ทักษิณ แล้วไม่สามารถควบคุมเงื่อนไขการเจรจานั้นได้ ทำให้สถานการณ์หลายอย่างในปัจจุบันล้ำเส้นและกระทบกระเทือนต่อทุกกระบวนการ ทั้งกระบวนการยุติธรรม พระบรมราชโองการ และจะลามไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ-สังคม บ่อนกาสิโน แลนด์บริดจ์ ซึ่งทุกอย่างชี้ให้เห็นว่าใครมีอำนาจและอิทธิพลสูงสุดทางการเมือง
ดังนั้นเมื่อควบคุมกันไม่ได้และเกิดความผิดพลาดมากขึ้น การเมืองก็ไม่สามารถนิ่งได้ เพราะหลังจากนี้ก็จะต้องมีการปฏิบัติการทวงถาม หรืออาจเลยเถิดไปถึงการล้มกระดานกันใหม่ก็เป็นได้ ส่วนข้อสังเกตที่ว่า ข้อตกลงหรือดีลที่ว่านี้ ดูเหมือนทักษิณจะได้เป็นส่วนใหญ่ขณะที่อีกฝ่ายแทบจะไม่ได้อะไรเลย ตนเห็นว่า สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนที่จะต้องเสียเขาก็เสียเต็มให้ไปหมด แต่ส่วนที่จะได้กลับไม่ได้อะไร “จริงๆไม่ควรเรียกว่าดีล แต่เรียกว่าเสียรู้” เพราะคำว่าดีลหมายถึงมีทั้งได้และเสีย แต่นี่เหมือนไปตีไพ่โง่ให้เขา แต่ตนก็สังเกตว่าเขาก็พยายามพลิกเกมกันอยู่
“ถ้ามันมีคนจริงกัน ผู้ที่ดีลเขามีปัญญาจัดการได้ แต่ว่าหัวใจจะได้หรือเปล่า เขาก็มีความอับอายเพราะเป็นตัวแทนที่ไปดีล ซึ่งความจริงก็คือการเป็นตัวแทนไปตกลง แล้วก็ไม่สามารถควบคุมได้ ไปปลุกผีขึ้นมาแล้วทีนี้ควบคุมผีไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของเขาที่จะลากกลับไปหลุม ดังนั้น เราก็ต้องดูศักยภาพจากนี้ไปว่าเขาเป็นคนจริงพอหรือเปล่า คือเขาเป็นคนที่มีศักยภาพ แต่เขาจะใช้ความกล้าตัดสินใจได้หรือเปล่า เพราะแน่นอนที่สุดมันไม่ใช่แค่เรื่องของเขาเพียงคนเดียว แต่คณะที่เป็นตัวแทนกันไป” จตุพร กล่าว
กูรูการเมืองผู้นี้ ซึ่งเคยเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในสภาในบทบาท สส. พรรคเพื่อไทย และนอกสภาในบทบาทแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง จึงถือเป็น “อดีตคนใน” ใกล้ชิดขั้วการเมืองฝ่ายทักษิณ ชินวัตร มานาน เล่าต่อไปว่า แนวคิดเรื่องให้อดีตนายกฯ ทักษิณ มาช่วยสู้กับพรรคก้าวไกลมาจากการสร้างปีศาจจำแลง “มองว่าความน่ากลัวอยู่ที่พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นการสร้างความน่ากลัวที่เกินจริง” เพราะสิ่งที่พรรคก้าวไกลกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ไม่มีอะไรเลยเกี่ยวข้องกับทักษิณ
ยกตัวอย่างคดีล้มล้างการปกครอง นั่นก็เป็นการจัดการตามวิธีของเขาอยู่แล้ว “พรรคก้าวไกลได้แค่พูด ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ทักษิณน่ากลัวกว่า เพราะอยู่ในอำนาจมายาวนาน” ถามว่าตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมามีกระทรวง ทบวง กรมไหนบ้างที่ไม่มีคนของทักษิณเข้าไปอยู่คือกินลึกมากกว่า ในขณะที่พรรคก้าวไกลยังไม่เคยเข้าไปสัมผัสในดงอำนาจจริงๆ จึงยังไม่มีกลไกอะไร แต่ที่สำคัญคือต้องแลกกับกระบวนการยุติธรรม แลกกับพระบรมราชโองการ และเรื่องข้างหน้าที่กำลังรออยู่ ทั้งดิจิทัลวอลเล็ต บ่อนกาสิโน แลนด์บริดจ์ ล้วนแต่จะเป็นปัญหาใหญ่ทั้งสิ้น
จตุพร ให้นิยามพรรคก้าวไกลว่า เป็น “ปีศาจฟันน้ำนม” เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความน่ากลัวของปีศาจเดิมหรือก็คือในซีกของอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่พรรคก้าวไกลกลับถูกสร้างภาพให้ดูน่ากลัวเกินจริง “วันนี้ประเทศไทยไปไกลกว่าการใช้คำว่ากลับไปสู่ระบอบทักษิณ ซึ่งที่น่ากลัวคือคู่แข่งที่ฟาดฟันกันมากว่า 20 ปีกลับกลายมาเป็นกลไกให้” ยิ่งกว่าเป็น “ปีศาจติดเทอร์โบ”ฟากฝั่งที่เคยเรียกตนเองว่าเป็นการเมืองอนุรักษ์นิยม พอมาบวกกับฝั่งของอดีตนายกฯ ทักษิณ ด้วยเพราะถูกสร้างปีศาจจำแลงให้เห็นว่าต้องร่วมมือกันไปสู้กับปีศาจก้าวไกล กลายเป็นหนุนให้ปีศาจทักษิณมีพลังเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“ผมว่าอาการของผู้คนก็สะสมตามลำดับ คือหมายความว่าในยุคสื่อสารไร้พรมแดน ประเภทที่เนื่องจากคนได้ระบายทางโซเชียลมีเดีย ถ้าเป็นสมัยก่อนคนอาจจะเต็มถนนอย่างรวดเร็ว แต่ผมดูอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ผมว่าเรื่องที่จะมีอาการมากยิ่งขึ้น เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณไม่ยี่หระว่าอยู่ระหว่างการพักโทษ ปฏิบัติการทุกอย่างตั้งแต่เจรจากับชนกลุ่มน้อยรัฐบาลพลัดถิ่น มีปัญหาทั้งซีกรัฐบาลพม่าและซีกทั้งชนกลุ่มน้อย
ไปเจรจากับผู้นำมาเลเซีย ในระหว่างที่ตัวเองพักโทษทั้งสิ้น ทุกอย่างมันเลยเถิด หรือการเจรจาให้คนมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยที่โคราช” จตุพร ระบุ
จตุพร ชวนมองสถานการณ์ต่อจากนี้ไปว่า การเมืองไทยจะก้าวข้ามความขัดแย้งของสีเสื้อต่างๆกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายผิดกับฝ่ายถูก “ความขัดแย้งเดิมจบสิ้นลงแล้ว..ดูจากการจัดตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มาจากคู่ขัดแย้งเดิมแทบทั้งสิ้น” พอภาคการเมืองสมประโยชน์กัน ภาคประชาชนก็คงไม่สามารถยืนกันแบบเดิมได้ ก็ต้องทำความคิดขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องผิด-ถูก ที่ต้องรักษาความดีงามของบ้านเมืองไว้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ยังไม่ใช่ก็ต้องใช้เวลา แต่หากถึงจุดที่ใช่ ความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้นได้เพียงชั่วพริบตา
อนึ่ง “การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตามอง” โดยต้องยอมรับว่าหลีกเลี่ยงการ “ฮั้ว” ได้ยาก ท้ายที่สุดก็จะเป็นอีกปัญหาหนึ่ง แต่ตนก็ต้องย้ำว่า ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความผิดพลาดจากการดีลการเมือง หากไม่มีเรื่องนี้ กระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯทักษิณ ก็จะเหมือนกับคนอื่นๆ แต่การให้คนคนเดียวเป็นอภิสิทธิ์ชนนั้นสร้างความเสียหายและบอบช้ำกับบ้านเมือง
ส่วนคำถามว่า ทักษิณจะคิดได้หรือไม่? สำหรับตนก็ไม่ทราบ เพราะระยะเวลาที่ผ่านไปถึง 17 ปี (ช่วงที่หนีคดีอยู่ในต่างประเทศ) มนุษย์เราระยะเวลาผ่านไปนานๆ สภาพจิตใจก็อาจไม่เหมือนเดิม เพียงแต่คนไทยมักติดกับสภาพเดิมๆ แม้ความเป็นจริงอาจไม่เหมือนเดิม หรือดูว่าจะหนักกว่าเดิมเสียอีก 17 ปีผ่านไป ตนก็ไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นอย่างไร แต่มองแล้วก็ว่าแปลก เพราะสามารถบริหารจัดการอยู่หลังฉากได้ ใครๆ ก็เชื่ออยู่แล้ว แต่เลือกที่จะออกมาอยู่หน้าฉากซึ่งเกินความจำเป็น
ในทางกลับกัน “ทักษิณ ชินวัตร ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นตัวแปรในการทำลายรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ได้” เพราะเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาล ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์เห็นต่าง หากไม่สนับสนุนก็ต้องทำเป็นไม่รับรู้ ไม่มีใครกล้าทักท้วงว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะทุกคนต่างก็ต้องพึ่งพาอดีตนายกฯ ทักษิณกันทั้งสิ้น แต่ก็ส่งผลกระทบได้เช่นกัน อย่างกรณีนายกฯ เศรษฐา แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่อาจเข้าข่ายบุคคลต้องห้าม จนถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ คนก็เชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณ
นอกจากนั้น “ทักษิณยังอาจเป็นตัวแปรที่ทำลายพรรคเพื่อไทยด้วย” เมื่อดูจากผลโพลล์ที่ความนิยมเทไปอยู่กับพรรคก้าวไกลมากขึ้น ซึ่งสะท้อนการคาดการณ์ที่ผิดของคณะที่ทำดีลการเมือง จากหวังให้ทักษิณช่วยหยุดพรรคก้าวไกล กลับไปช่วยส่งเสริมให้พรรคก้าวไกลเติบโตขึ้น โดยสรุปคือ “ดีลนี้หลักคิดผิดมาตั้งแต่ต้น” ทั้งนี้ ตนอยากให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากวันใดที่มีความคิดตรงกันค่อยมาตัดสินใจอีกทีว่าจะทำอย่างไร ส่วนช่วงนี้ขอให้สะสมข้อมูลสถานการณ์ต่างๆ และขอให้ทุกฝ่ายยึดประเทศชาติเป็นสำคัญ
“ผมว่าต้องติดตามดูกันทีละตอน การเมืองในยุคตระบัดสัตย์เป็นใหญ่ พลิกไปพลิกมาไม่มีอะไรเป๊ะไม่มีอะไรตรงที่จะวิเคราะห์กันอย่างไร แต่รู้อย่างเดียวการดีลกันแบบนี้มันทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย คนที่มีหน้าที่ก็ต้องไปจัดการเพื่อระงับยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้น แล้วก็ควรจะคิดถึงประชาชนให้มากๆ ไม่ใช่คิดเฉพาะในเชิงอำนาจและผลประโยชน์แต่เพียงอย่างเดียว” จตุพร กล่าว
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอนทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี