สัปดาห์ก่อนเราคุยเรื่องลดความอ้วน หรือยาลดน้ำหนัก เนื่องจากมีข่าวการปนเปื้อนสารไซบูทรามีนในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ว่าช่วยลดน้ำหนักได้ สัปดาห์นี้มาคุยกันต่อในประเด็นอันตรายจากยาลดน้ำหนัก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ใช้ยาโดยไม่มีความรู้ และไม่ใส่ใจอันตรายจากยาลดความอ้วน
ในฐานะเภสัชกร มักมีคนถามบ่อยๆ ว่า กินอะไรดีเพื่อให้น้ำหนักลด มีอะไรที่กินแล้วเพิ่มการเผาผลาญ บล็อกการดูดซึมแป้ง ไขมัน และสารพัดสิ่ง ก็ตอบไปว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พิจารณาว่าไม่ควรกินอะไรที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มหรือควบคุมน้ำหนักไม่ได้
อย่างไรก็ตาม การอดอาหารคือการลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนที่ไม่ถูกต้อง การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือ กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ คนที่อยากลดน้ำหนักต้องจำไว้เสมอว่า วิธีที่ถูกต้อง จะต้องเป็นวิธีที่เราสามารถทำได้ตลอดไป ไม่ใช่อยากจะลด 5 กิโลกรัม เพื่อให้ใส่ชุดสวยๆ ไปงานได้ ก็เลยไปเสาะแสวงหาสูตรลดน้ำหนัก3 วัน 7 วันมาใช้ เช่น วันๆ หนึ่งไม่กินแป้งเลย กินแต่เนื้อสัตว์ต้มเพียงไม่กี่ชิ้น และกินผักผลไม้เท่านั้น แน่นอนว่าเมื่อทำแบบนี้ใน 3-7 วัน น้ำหนักอาจลงจริง แต่ทันทีที่กลับมากินเหมือนเดิม น้ำหนักก็จะดีดขึ้นมาเท่าเดิม หรือเผลอๆ จะหนักกว่าเก่าด้วยซ้ำ
บางคนไม่นับว่าอ้วน แต่แค่เพียงมีน้ำหนักเกินนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปหาหมอที่คลินิกเสริมความงาม แล้วได้ยาชุดลดน้ำหนักมากิน แล้วภายในหนึ่งเดือน ก็ผอมสมใจ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ซึ่งคนเหล่านั้นอาจจะบอกว่า การใช้ยาลดความอ้วนที่หมอจ่ายมาได้ผลดี กรณีนี้ต้องอธิบายเพิ่มว่า ในยาชุดลดน้ำหนักที่คลินิกส่วนหนึ่งนิยมจ่าย มันประกอบไปด้วยยาหลายชนิด เช่น ยาลดความอยากอาหาร ยาฮอร์โมนไทรอยด์ ไฟเบอร์อัดเม็ดเพื่อให้อิ่ม ยาแคปซูลขับไขมัน ยาขับปัสสาวะ ยาแก้ใจสั่น ยาระบาย วิตามินรวม และยานอนหลับ ถามว่าทำไมต้องใช้ยาหลายชนิด ก็เพราะว่ายาลดความอยากอาหารจะทำให้ท้องผูก นอนไม่หลับ จึงมีการให้ยานอนหลับไปแก้ ยาฮอร์โมนไทรอยด์จะเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ แต่ที่จริงแล้วในคนที่ไม่ได้เป็นคนไข้ที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ถ้ากินเข้าไปแล้วจะอันตรายมาก ทั้งยาลดความอยากอาหาร และยาฮอร์โมนไทรอยด์ ล้วนมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว จึงต้องให้ยาอาการแก้ใจสั่น ซึ่งยาชนิดนี้นอกจากช่วยบรรเทาอาการใจสั่นแล้ว ก็ทำให้ความดันเลือดลดลงมากเกินไปได้อีกด้วย
ส่วนยาขับไขมันทางอุจจาระ ก็อาจจะทำให้บางคนผายลมปนไขมันออกมา จนทำให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อน และยังทำให้วิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งจำเป็นต่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ดีอีกด้วย สำหรับยาขับปัสสาวะ หลังจากรับประทานแล้ว ก็จะขับน้ำออกจากร่างกาย และเมื่อน้ำในร่างกายถูกขับออกมา น้ำหนักตัวก็ต้องลดลง แต่ผลข้างเคียงก็คือ สมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกายอาจจะเสียไป การขาดน้ำและเกลือแร่ทำให้อ่อนเพลีย เป็นตะคริว หรือกรณีรุนแรงอาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ เรียกว่าอันตรายที่อาจเกิดขึ้นนั้นไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงจากการกินยาเพื่อลดน้ำหนักเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักเดิม แล้วทันทีที่หยุดยาทั้งหมดที่ได้มา แต่ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน แล้วในเวลาไม่ช้า น้ำหนักจะดีดขึ้นมาอย่างแน่นอน หลายรายก็พบว่าน้ำหนักเพิ่มมากกว่าจุดตั้งต้นเสียอีกซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า โยโย่เอฟเฟกท์
แต่บางคนที่จำเป็นต้องใช้ยาลดความอ้วน ไม่ว่าจะยากลุ่มลดความอยากอาหาร ยากินเพื่อยับยั้งการดูดซึมไขมันหรือ ยาฉีดลดความอ้วนที่ช่วยคุมหิว ซึ่งมีราคาแพงมาก คุณจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงกับผลที่คาดว่าจะได้รับ ร่วมกับปัญหาภาวะสุขภาพที่อาจจะตามมา รวมถึงต้องประเมินความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายค่ายาด้วย แต่ไม่ว่ายาตัวใดก็ตาม ถ้าระหว่างการใช้ยา ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถปรับพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายให้เหมาะสมได้ เมื่อเลิกใช้ยาก็มีโอกาสที่จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจากคณะกรรมการอาหารและยาของไทย หรือสหรัฐอเมริกาก็ตาม ประสิทธิผลในการลดน้ำหนักโดยรวมจากงานวิจัยต่างๆ ก็อยู่ที่ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักเริ่มต้น ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งถ้าน้ำหนักเริ่มต้นของเราไม่ได้มากถึงเกือบร้อยกิโลกรัม และไม่ได้มีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงอะไร ผลที่ได้ก็อาจจะไม่คุ้มค่ายา และความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิดขึ้นตามมา
รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี