วันอังคาร ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ผู้หญิง
‘หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ’ ตัวการร้ายทำเส้นเลือดหัวใจตีบ แพทย์เตือนคนไทย ตรวจ ‘Calcium score’ เพื่อหยุดความเสี่ยง

‘หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ’ ตัวการร้ายทำเส้นเลือดหัวใจตีบ แพทย์เตือนคนไทย ตรวจ ‘Calcium score’ เพื่อหยุดความเสี่ยง

วันพฤหัสบดี ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.
Tag : หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ
  •  

“หินปูนเกาะเส้นเลือดหัวใจ” ตัวการร้ายเพิ่มความเสี่ยงเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน เสี่ยงหัวใจวายอันตรายถึงชีวิต พร้อมเผยข้อมูลพบผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ 70,000 คน/ปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน เตือนคนไทยหมั่นเช็คอัพร่างกายตรวจ “Calcium score” หยุดความเสี่ยงโรค “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” และ “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง” เพื่อหัวใจที่แข็งแรงและชีวิตที่ยืนยาว

นพ.เจษฎา ลักขณาวงศ์


นพ.เจษฎา ลักขณาวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจโรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยข้อมูลว่า “หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ” คือ ภาวะที่หลอดเลือดหัวใจมีการสะสมของตะกอนไขมัน คล้ายกับสิวที่เกิดอยู่บนผนังเส้นเลือดหัวใจ โดยจะค่อยๆ สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 5-20 ปี และเมื่อชั้นไขมันมีการอักเสบ จะทำให้เกิด “หินปูน” เกิดขึ้นและหากมีการสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามมา ส่งผลให้เลือดจะไหลผ่านจุดนั้นได้ช้าลงหรือในปริมาณน้อยลง ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่เส้นเลือดนั้นไปเลี้ยง ขาดออกซิเจนและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย ภาวะนี้คือ “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” (Coronary artery occlusion) เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่งผลให้เกิดอาการแน่นหน้าอก และเมื่อการบีบตัวของหัวใจน้อยลง จะทำให้เกิด ภาวะน้ำท่วมปอด ความดันตก วูบหมดสติ กรณีเลวร้ายอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง และหัวใจหยุดเต้นได้

นพ.เจษฎา ให้ข้อมูลต่อว่า “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ “เส้นเลือดหัวใจตีบชนิดเรื้อรัง” ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการให้เห็นชัดเจน อาจมีแน่นหน้าอกบ้างเป็นๆ หายๆ เวลาออกแรงหรือออกกำลังกาย เนื่องจากมีการสะสมของตะกอนไขมันในเส้นเลือดอย่างช้าๆ อาจใช้เวลานาน 10-20 ปี จึงจะรู้ว่า “เส้นเลือดหัวใจตีบ” คือ เมื่อเส้นเลือดตีบเยอะๆ เราจะมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจถี่วิงเวียนศีรษะ เนื่องจากเลือดผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ และอีกกลุ่มหนึ่งคือ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” ผู้ป่วยอาจไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย เนื่องจากอาการเกิดขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการที่ชั้นไขมันหรือสิวในผนังเส้นเลือดเกิดการแตก (Plaque  rupture) และมีเกล็ดเลือดมาสะสมบริเวณแผลนั้น จนนูนขึ้นและอุดตันเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว บางรายอาการรุนแรงถึงขั้นหมดสติหรือเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคนี้ คือ 1.ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง 2.สูบบุหรี่จัด 3.เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 4.มีภาวะเครียด 5.ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 6.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วน 7.ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจ จากข้อมูลวิจัยพบว่า ผู้ชายจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ มากกว่าผู้หญิง ประมาณ 3 เท่า และผู้ชายจะเกิดเร็วกว่าผู้หญิงประมาณ 7-10 ปี

“โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” เป็นภัยเงียบที่ทุกคนต้องระวัง เนื่องจากจะยังไม่แสดงอาการหากการตีบของเส้นเลือดยังไม่มาก โดยส่วนใหญ่ที่ตรวจพบจะเป็นอาการ “เส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง” ซึ่งอาการเหล่านี้ แพทย์สามารถทำการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดตีบเฉียบพลันได้ และหากติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง สามารถประเมินและวางแผนการรักษาได้ตามลำดับของโรค แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคืออาการ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน”อันนี้อันตรายมากๆ เพราะถ้าเป็นกลุ่มอาการเส้นเลือดตีบเรื้อรังจะใช้ระยะเวลานานในการเกิดโรค แต่อาการ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” เป็นอาการที่ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าและใช้เวลาไม่นานเส้นเลือดสามารถอุดตันได้บางรายอาจไม่ถึง 10 นาที ยกตัวอย่างเคสนักกีฬาฟุตบอลหรือแบดมินตันซึ่งอายุไม่เยอะ มีอาการหมดสติ เป็นลมล้มฟุบขณะกำลังแข่งขัน ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คนไข้เสียชีวิต

นพ.เจษฎา กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจุบันแนวโน้มการเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยลงเนื่องจากองค์ความรู้ในการป้องกันการเกิดโรคที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงมีอุปกรณ์ที่สามารถประเมินความเสี่ยงโรคต่างๆ ได้โดยเฉพาะความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดหัวใจ เพราะฉะนั้น อยากแนะนำให้คนที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยง 1.ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 2.ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 3.ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง 4.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วน 5.สูบบุหรี่จัด 6.ผู้ที่มีความเครียด 7.ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้ ให้เข้าตรวจ “Calcium score” หรือการตรวจ Coronary artery calcium scan เพื่อประเมินและลดความเสี่ยงและอยากแนะนำให้ทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดโรคอย่างเช่น งดสูบบุหรี่ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

สำหรับเทคโนโลยีการรักษา แพทย์ผู้รักษาจะทำการประเมินอาการของคนไข้ หากอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่มีความเสี่ยงมาก อาจรักษาด้วยการให้ยา เช่น ยาลดไขมัน ยาลดความดันในเส้นเลือด เพื่อควบคุมอาการ แต่หากพบว่าเส้นเลือดหัวใจตีบมากอย่างมีนัยสำคัญ จะรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมากในปัจจุบัน คนไข้ไม่ต้องพักฟื้นนาน ใช้เวลาในการรักษาเพียง 48 ชั่วโมงคนไข้ก็สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติได้แต่ถ้าเส้นเลือดตีบเยอะมาก หรือลักษณะเส้นเลือดไม่เหมาะกับการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสหัวใจแทน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ขีดเส้น 7 วันตรวจสอบข้อเท็จจริง ปม ‘ครูมัท’ เสียชีวิต สั่งเขตพื้นที่ฯตั้งกก.สอบพิรุธ

'ทรัมป์'เตือนชาวเตหะรานอพยพทันที หลังเพลิงสงครามตะวันออกกลางปะทุหนัก

(คลิป) 'ฮุนเซน' ด่า 'ไทย' มีแต่โจรเท่านั้นที่กลัวศาล

นายกฯตั้ง‘ศูนย์ ศบ.ทก.’ประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มุ่งลดตึงเครียด-ขัดแย้ง

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved