ขณะที่การท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ได้กลายมาเป็นเทรนด์ใหม่ของนักเดินทาง แต่สำหรับ โซเนวา คีรี เกาะกูด (Soneva Kiri) นั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 12 ปีที่แล้ว นับเป็นรีสอร์ทแห่งแรกๆ ในประเทศไทย หรืออาจจะแห่งเดียวที่บุกเบิกการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และความยั่งยืนอย่างจริงจัง ลดการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ และงดใช้พลาสติกในรีสอร์ท 100% แต่ยังให้ความสำคัญกับวันพักผ่อนของแขกที่มาเยือน ด้วยการมอบประสบการณ์พักที่หรูหราระดับ 6 ดาว ครบครันในสิ่งอำนวยความสะดวกในแบบที่ไม่ฟุ่มเฟือยหรือเบียดเบียนธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่โซเนวาทั่วโลกยึดมั่นมาโดยตลอด
มานิช ชาร์มา (Manish Sharma) ผู้จัดการรีสอร์ท พาไปสำรวจ โซเนวา คีรี เกาะกูด (Soneva Kiri Koh Kood) รีสอร์ทหรูระดับ 6 ดาว แห่งนี้ถึงที่มาของ “ความหรูหราอย่างยั่งยืน” ที่ยังคงเป็น Dream Destination หรือสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของใครหลายๆ คนที่ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต
โซเนวา คีรี (Soneva Kiri) ตั้งอยู่บริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย ที่ยังคงรักษาปรัชญาของโซเนวา นั่นคือการเป็นรีสอร์ทหรูระดับ 6 ดาว ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภายในรีสอร์ทมีห้องพักแบบพูลวิลล่าทั้งหมด 34 หลัง มีขนาดตั้งแต่ 1-6 ห้องนอนตัวห้องพักนั้นตั้งอยู่บริเวณชายหาด เชิงเขาและบนเขา ที่มอบวิวสวยๆ ที่แตกต่างกัน วิลล่าแต่ละหลังจะมีรถบักกี้ไว้บริการรับ-ส่ง พร้อม Mr./Ms. Friday หรือบัตเลอร์ประจำวิลล่าคอยอำนวยความสะดวกให้กับแขกที่มาเข้าพัก
ภายในห้องพักแต่ละหลังตกแต่งในสไตล์ Eco-Friendly ที่เรียบง่ายแต่ทันสมัย ผสานความหรูหราที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จึงทำจากวัสดุธรรมชาติเกือบ 100% ไม่ใช้พลาสติกใดๆ และเน้นการใช้ภาชนะที่สามารถนำกลับไปใช้ซ้ำได้อีกครั้ง เพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร วิลล่าทุกหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว และพื้นที่ส่วนกลางที่เราสามารถใช้เวลา Slow Life ที่นั่นได้อย่างเต็มที่
แขกที่เข้าพักจะได้รับคำแนะนำจากบัตเลอร์ประจำวิลล่า ให้ถอดรองเท้าทันทีที่มาถึงรีสอร์ท แล้วเดินเท้าเปล่าตลอดเวลาที่พักอยู่ในรีสอร์ท เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รวมทั้งเวลาที่นั่นก็ถูกกำหนดให้หมุนช้ากว่าเวลาปกติ 1 ชั่วโมง สมกับสโลแกนของที่นี่คือ “ปราศจากข่าวสาร ไม่สวมรองเท้า (No News, No Shoes) และไม่มีพิธีรีตองใดๆ”
แนวคิดเรื่องความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโซเนวา ส่วนหนึ่งแล้วมาจากการขับเคลื่อนจาก โสนุชิฟดาซานี (Sonu Shivdasani) นักธุรกิจเชื้อสายอินเดียที่เติบโตในอังกฤษ และเป็นผู้ก่อตั้ง โดย โซเนวา ฟูชิ แห่งแรกที่ มัลดีฟส์ เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากสร้างรีสอร์ทที่มอบความหรูหราที่ชาญฉลาด ลดการใช้สิ่งของและพลังงานที่ฟุ่มเฟือย ต่อมา โซเนวา คีรี รีสอร์ท เกาะกูด ประเทศไทย เปิดตัวในปีพ.ศ. 2553 จากนั้นปี 2559 จึงเปิด โซเนวา จานี ที่มัลดีฟส์ โดยที่ทุกแห่งตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน นั่นคือ การมอบประสบการณ์ Slow Life ให้กับแขกที่มาเข้าพักได้ใช้เวลาในรีสอร์ทอย่างหรูหราและผ่อนคลาย โดยรบกวนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ของการท่องเที่ยวยุคปัจจุบัน
มานิช ชาร์มา เล่าให้ฟังว่า แนวคิดเรื่องความยั่งยืนอยู่ใน DNA ของธุรกิจ เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการดำเนินธุรกิจของโซเนวา ประสบการณ์ที่มอบให้ผู้ใช้บริการก็ย่อมเป็นประสบการณ์ที่ตั้งอยู่บนแนวคิดความยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น ในรีสอร์ทมีสวนผักออร์แกนิก ปลูกพืช ผัก และสมุนไพร เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญให้เชฟในรีสอร์ทเลือกหยิบมาประกอบอาหารให้ผู้ใช้บริการได้ลิ้มรสพืชผักแบบสดๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าเก็บขึ้นมาจากดินอย่างแท้จริง
ขณะที่ร้านอาหารดังระดับมิชลินสตาร์ มักใช้วัตถุดิบเป็นผักจากแหล่งอื่น โดยนำเข้ามาภายในระยะเวลา 1-2 วัน แต่สำหรับรีสอร์ทของโซเนวา กลับมอบประสบการณ์ด้านอาหารแบบ Luxury เช่นเดียวกัน โดยใช้วัตถุดิบของตัวเอง ซึ่งตอบสนองต่อแนวคิดเรื่องความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมในตัวเองเช่นกัน
ไม่เพียงแค่เชฟ แขกที่เข้าพักสามารถเข้ามาชมและเลือก หรือแนะนำผักจากสวนที่สนใจอยากทานด้วยตัวเอง แล้วนำมาให้เชฟปรุงได้ด้วย โดยประสบการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ควบคู่กับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
“สิ่งที่เราคำนึงถึง คือเราโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นเน้นไปที่อาหารจากพืช (plant based) ลดการใช้ทรัพยากรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เรานำส่วนผสมของเนื้อวัว (beef) ออกจากเมนู สืบเนื่องจากเรื่องผลกระทบเชิงลบจากการเลี้ยงที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เรายังสนับสนุนประมงของชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้กับพวกเขารวมทั้งเป็นการลดคาร์บอนจากการขนส่ง
เรามีผลิตภัณฑ์เน้นพืชมากขึ้น รวมทั้งเซตอาหารให้เลือก หรือจะเปิดประสบการณ์ด้านการทานอาหารในสวนของเรา สามารถเข้ามาเดินชมสวน ดูว่าวัตถุดิบอาหารมาจากไหน แขกไม่จำเป็นต้องถึงกับปรุงอาหารด้วยตัวเอง แต่การมาดูสวน เมื่อพวกเขาเห็นว่าวัตถุดิบในแต่ละเมนูมาจากไหน เห็นเชฟของเราปรุงให้ แขกจะเห็นประโยชน์จากการทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทานอาหารที่สดใหม่ และยังเป็นประสบการณ์ที่ดีซึ่งแขกสามารถสัมผัสได้ระหว่างเข้าพัก นั่นเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราพัฒนา และเรายังได้รับผลตอบรับที่ดีจากกิจกรรมที่เราทำด้วย”
นอกจากนี้ เรายังมีโปรเจกท์เรื่องน้ำดื่ม โดยเราไม่นำเข้าขวดน้ำดื่มพลาสติก เข้ามาในโซเนวาตั้งแต่เมื่อปี 2008 และน่าจะเป็นเป็นรีสอร์ทแห่งแรกในโลกที่เริ่มมีนโยบายนี้ก็ว่าได้ อีกทั้ง เรายังมีจุดผลิตน้ำดื่มในแต่ละรีสอร์ทของเราเอง ด้วยนวัตกรรมที่รับรองได้ถึงมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย จากนั้นนำน้ำสะอาดมาบรรจุเป็นน้ำดื่มในขวดแก้ว บริการให้กับแขกที่เข้าพัก”
เมื่อถามถึงการจัดการขยะและของเหลือใช้ในรีสอร์ท มานิช กล่าวว่า โซเนวา ตั้งศูนย์เพื่อสิ่งแวดล้อมฯ ในพื้นที่รีสอร์ท นำของที่ไม่มีใครใช้แล้วมารีไซเคิล เช่นใช้น้ำมันที่เหลือจากการทำอาหาร มาแปรรูปเป็นไบโอดีเซลที่ใช้เติมในรถแทรกเตอร์ นำเศษแก้วมาเป็นวัตถุดิบสร้างชิ้นงานศิลปะมาประดับตกแต่งตามจุดต่างๆ ขณะที่เศษไม้ต่างๆ ก็นำกลับมาซ่อมแซมเพื่อใช้ในรีสอร์ทอีกครั้ง
“เราหันมาจัดการขยะด้วยตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม เราใช้วิธีคัดแยกขยะ โดยแบ่งถังขยะออกเป็น 4 ถัง ได้แก่สีเขียว สีเหลือง สีน้ำเงิน และสีแดง เริ่มจากแยกขยะในครัว ขยะจากของใช้ต่างๆ ขวด กระป๋อง และขยะอื่นๆ จากนั้นก็มาจัดการในอีโคเซ็นโทรโดยสร้างเป็นโรงเรือนขึ้นมาเป็นห้อง เช่น ห้องเก็บพลาสติก ห้องเก็บขวด ห้องเก็บกระดาษ ห้องเก็บเหล็ก ทุกสิ้นเดือนขยะที่ขายได้จะให้ทางร้านรับซื้อของเก่ามาซื้อไป
ขณะที่ขยะจากถังสีเขียว ส่วนใหญ่เป็นขยะจากครัวหรือขยะออร์แกนิก ซึ่งมีจำนวนมากน่าจะอยู่ที่ 40-50% ซึ่งแต่เดิมได้มีการจ้าง อบต. นำไปฝังกลบ แต่ทุกวันนี้เรานำมาทำปุ๋ยหมัก ซึ่งปริมาณปุ๋ยหมักที่ได้อยู่ที่ 8-9 ตัน/เดือน ใช้เวลาในการหมัก 4 เดือน ควบคุมกลิ่นด้วยสารอีเอ็ม (EM) ปุ๋ยหมักที่ได้ก็นำมาใช้ในการเกษตรของรีสอร์ท ซึ่งเราปลูกผักปลอดสารพิษอยู่แล้วในพื้นที่ 2 ไร่ ไว้สำหรับประกอบเมนูอาหารเพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องสุขภาพให้กับแขกของเรา ซึ่งมีผักหลายชนิด เช่น ผักสลัด แตงกวา และอื่นๆ รวมถึงสมุนไพรต่างๆ ส่วนขยะพิษจากถังสีน้ำเงินไม่สามารถรีไซเคิลได้ หรือนำไปทำปุ๋ยหมักไม่ได้ เราก็ส่งให้ อบต.จัดการต่อไป ด้วยวิธีและแนวคิดบริหารจัดการขยะดังกล่าว ทำให้รีสอร์ทสามารถลดปริมาณขยะลงได้ปริมาณมาก และวิธีนี้ยังทำให้มีรายได้จากการขายขยะด้วย”
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือเรื่องการมอนิเตอร์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ว่าจะเป็นจากอาหาร หรือการเดินทาง ซึ่งแขกที่มาพักกับโซเนวา คีรี ต้องเดินทางมาโดยใช้การเดินทางทางอากาศหรือทางน้ำ ไม่ใช่แค่การวัดและตรวจสอบโซเนวา ยังจัดตั้งกองทุนด้านสิ่งแวดล้อม และให้แขกที่เข้ามาใช้บริการเลือกว่าจะสมทบทุนเป็นจำนวนเงิน 2% จากค่าใช้บริการห้องพักเพื่อให้มูลนิธิฯ นำมาใช้บริหารงานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปลูกต้นไม้ตามที่ต่างๆ ในไทย และกิจกรรมอื่นๆ ตามเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก นำไปสู่เป้าหมายของโซเนวาและเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมโดยรวมที่ต้องการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราได้รับแรงสนับสนุนจากเจ้าของและผู้ก่อตั้ง เขาอยากทำสิ่งนี้ จึงขับเคลื่อนและสนับสนุนแนวทางเพื่อความยั่งยืนกับพวกเรา นำมาสู่นวัตกรรม และทำให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีแนวคิดแล้ว ยังจำเป็นต้องนำมาหารือและแลกเปลี่ยนร่วมกัน ถ้ามีแค่ไม่กี่คนมาเกี่ยวข้อง มุมมองที่ได้ย่อมแคบกว่ามุมมองที่มาจากหลายๆ คน เราจึงมีกล่องที่ให้พนักงานทุกคนนำเสนอไอเดียของตัวเอง ถ้าน่าสนใจ ย่อมสามารถนำมาปฏิบัติได้ และยังมีรางวัลสำหรับเจ้าของไอเดีย แนวทางนี้ช่วยให้โซเนวา มีไอเดียดีๆ เข้ามาไม่ขาดสาย และได้นำมาใช้งานได้จริง”
ไม่เพียงแต่แนวคิดด้านความยั่งยืนที่ทำได้อย่างเป็นรูปธรรมและแขกที่เข้าพักสามารถสัมผัสได้เท่านั้น ความหรูหราในส่วนอื่นๆ ยังทำให้การพักผ่อนที่ โซเนวาคีรี เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น ซีเนม่า พาราดิโซสามารถชมภาพยนตร์คลาสสิกแบบเปิดโล่งท่ามกลางแสงดาว, หอดูดาวส่วนตัว ที่แขกสามารถสำรวจท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยกล้องโทรทรรศน์และสัมผัสประสบการณ์ดาราศาสตร์ 3 มิติเพื่อดูดวงดาวได้อย่างงดงาม, โซนสำหรับเด็ก เป็นสนามเด็กเล่นสำหรับจินตนาการ ที่ซึ่งชาว Sonevians วัยเยาว์สามารถสร้างสรรค์ สนุกสนาน และทำใจให้สบาย ดูแลโดยผู้ดูแลเด็กที่มีคุณสมบัติ ประกอบด้วย ห้องเลโก้ พื้นที่แต่งตัว โซนการเรียนรู้และอ่านหนังสือ และห้องดนตรีที่เต็มไปด้วยเครื่องดนตรี
“ที่ โซเนวา คีรี เรามั่นใจว่าแขกที่เข้าพักทุกคน จะได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งจะสอดคล้องกับการตีความความหรูหราของเรา ความหรูหราที่แท้จริง คือการสัมผัสทรายระหว่างนิ้วเท้าของคุณ หรือเพลิดเพลินกับอาหารค่ำภายใต้ท้องฟ้าที่มีดาวนับพันล้านดวง เป็นการเชื่อมต่อตัวเองกับธรรมชาติดังนั้น ประสบการณ์ที่เราสร้างขึ้นสำหรับแขกของเราจึงห่างไกลจากสภาพแวดล้อมในเมืองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เด็กๆ จะได้สนุกกับธรรมชาติที่แท้จริง โดยไม่มีอุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง และเหนือสิ่งอื่นใดประสบการณ์เหล่านั้น ยังมาพร้อมกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในเกือบทุกมิติที่สามารถผสานเป็นแนวคิดเดียวกันได้ และมีเพียงรีสอร์ทไม่กี่แห่งบนโลกนี้” มานิช กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี