ขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้นำประเทศ” แล้ว “ความคาดหวังของประชาชน” นอกจากจะเป็นของการบริหารประเทศให้เกิดความมั่นคงสงบสุข มีสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตและคุณภาพชีวิตที่ดี ยังรวมถึง “ความเป็นหน้าเป็นตาในเวทีโลก” ด้วย โดยเฉพาะเมื่อต้องไปร่วมประชุมหรือพบปะกับบรรดาผู้นำประเทศอื่นๆ นั่นทำให้ทุกครั้งที่มีกำหนดการเหล่านี้ ทั้งตัวผู้นำเองและคณะทำงานรอบข้างก็จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้ภาพที่ปรากฏผ่านสื่อออกมาดูดีที่สุด
ดังที่เป็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ กับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร กรณีไปร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ช่วงวันที่ 2-3 ต.ค. 2567 ที่ประเทศกาตาร์ แล้วถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากช่วงที่กล่าวสุนทรพจน์ รวมถึงการพูดคุยกับประธานาธิบดีของประเทศอิหร่าน มีภาพปรากฏว่า น.ส.แพทองธาร เหมือนกับต้องใช้แท็บเลตเพื่ออ่านสคริปต์ที่เตรียมมาอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ ในฝ่ายผู้สนับสนุนนายกฯ แพทองธาร ได้พยายามชี้แจง อาทิ จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2567 ว่า โดยปกตินายกฯ ก็เป็นคนพูด หรือปราศรัยโดยไม่มีสคริปต์อยู่แล้ว และท่านนายกฯ ก็เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปปราศรัยหรือเวทีใดๆ ก็ไม่ได้อ่านอยู่แล้ว แต่การพูดด้วยการอ่านเอกสารบนเวทีประชุมระดับโลกจำเป็นต้องอ่าน ซึ่งมีลักษณะจะคล้ายกับการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องอ่านตรงตามตัวอักษรทุกประการ ตนจึงไม่เห็นว่าเป็นสาระสำคัญที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์กัน
หรือย้อนไปก่อนหน้านั้น 1 วัน ในวันที่ 5 ต.ค. 2567 เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านบัญชีแพลตฟอร์ม X ระบุว่า ความสำคัญในคำพูดของ
ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควรมีความผิดพลาดน้อยที่สุด ตั้งแต่ข้อมูล ชื่อตำแหน่ง ตัวย่อหน่วยงานราชการ อย่างตนที่ไม่ได้เทรนมาเป็นนักพูด อยู่ภาคธุรกิจมาตลอด ถ้าต้องพูดโดยไม่มีสคริปต์ ก็คงใช้ศัพท์ที่เคยชินซึ่งอาจจะไม่ถูกต้อง
การเตรียมสคริปต์ ทำให้มีเวลาในการทบทวนเนื้อหา ทั้งที่กลั่นกรองจากความคิดตนเอง ทั้งเนื้อหาที่มาจากทีมงานที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ รวมถึงส่วนที่ให้ข้าราชการผู้จะนำไปปฏิบัติช่วยดูให้รัดกุม เพราะคนที่เป็นนายกฯไม่ใช่แค่พูดแล้วจบ แต่ต้องเอาไปปฏิบัติได้จริงด้วย ดังนั้นสคริปต์ที่รัดกุมสำคัญมาก ก่อนจะทิ้งท้ายว่า สำหรับตนแล้ว substance over style (สาระสำคัญกว่าวิธีการ) เรื่องอ่านสคริปต์หรือไม่อ่านเป็นแค่ style (วิธีการ) เป็นต้น
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2567 รัชดา ธนาดิเรก อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ น.ส.แพทองธาร ครั้งนี้ว่าหากพูดกันอย่างกลางๆ ในการประชุมระดับนานาชาติ ที่จะต้องกล่าวให้ผู้นำประเทศอื่นๆ ฟัง ก็ต้องพูดอยู่ในสคริปต์ เพราะทุกอย่างต้องถูกบันทึกเป็นประเด็น ถือเป็นการให้คำมั่นของประเทศไทยต่อเวทีนานาชาติ
แต่ที่เป็นกระแสคือการที่นายกฯ พุดคุยกับผู้นำของประเทศอิหร่าน เป็นการเจรจา 2 ฝ่าย ซึ่งอ่านสคริปต์ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ดูเป็นจุดๆ ได้ เพราะอาจมีบางเรื่องที่จำได้ไม่หมด มีรายละเอียดที่อยากเน้นย้ำ แต่พอคุยกันไปออกรสชาติแล้วอาจลืม ก็ต้องกลับมาดู แต่สิ่งที่เราเห็นจากบรรยากาศของผู้นำไทยและอิหร่านได้คุยกัน
จะเป็นการอ่านสคริปต์เสียส่วนมาก จึงเป็นคำถามว่าเหตุใดไม่มีการเตรียมตัว
น.ส.รัชดา อธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ ว่า เรื่องของการเตรียมตัวก็ไม่ใช่เตรียมตัวก่อนเข้าพบ แต่ต้องเตรียมตัวมาเป็นสัปดาห์ๆ เพราะคุณคือผู้นำประเทศ และไม่ใช่แค่เตรียมตัวเรื่องการอ่านออกเสียง สำเนียง หรือความเข้าใจศัพท์เทคนิค-ศัพท์เฉพาะทาง (Technical Term) แต่เป็นการเตรียมตัวว่าเราจะพูดคุยอะไรกับเขา จะเสนอและสนองอะไรกับอีกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะกับประเทศอิหร่าน ภายใต้การเมืองภูมิศาสตร์ที่มีความขัดแย้ง เราต้องมีการเตรียมตัวและถกในทุกมิติ ดังนั้นแทบไม่มีความจำเป็นที่ต้องอ่านสคริปต์เป็นประโยคยาวขนาดนั้น
ส่วนที่ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า ศัพท์บางคำเป็นศัพท์ทางกฎหมาย หลายคำเพิ่งมาเจอตอนเป็นนายกฯ แม้เรื่องนี้จะเข้าใจได้แต่เป็นไปไม่ได้ที่นายกฯ จะมาเห็นคำเหล่านั้นก่อนการเข้าประชุม เพราะการประชุมเวทีระดับนี้ต้องเตรียมการกันมานานมาก โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเตรียมข้อมูลไว้ อย่างตนที่เคยเป็นผู้ติดตามก็ยังได้แฟ้มข้อมูลล่วงหน้าก่อนการประชุมเป็นสัปดาห์ ได้รู้ประเด็นที่จะคุยกัน รู้ว่าแต่ละประเทศที่จุดเด่นอย่างไร
กล่าวคือ ระดับปฏิบัติการเขาชงเรื่องไว้หมดแล้ว แต่ที่ผู้นำมาเจอกันเป็นเรื่องทางมารยาท เป็นการฉายภาพสัมพันธไมตรีที่ดี แต่ในรายละเอียดจะมีการรายงานให้นายกฯ ทราบอยู่แล้ว ดังนั้นที่บอกว่าบางคำเพิ่งมาเห็นแล้วต้องอ่าน ก็มองว่าเป็นเหตุผลที่เบามาก ขณะที่อีกประการหนึ่ง ตนมองว่านายกฯ แพทองธาร มีความกังวลและต้องการจะฉายภาพว่าตนเองเก่งในหลายด้านรวมถึงด้านการต่างประเทศและการใช้ภาษาอังกฤษ จึงปฏิเสธที่จะใช้ล่าม
ซึ่งเรื่องนี้ตนอยากบอกว่าถ้าทำได้ดีก็ทำ แต่อย่าให้เป็นกังวลเป็นภาระในใจเลย อีกอย่างผู้นำอิหร่านเองก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแต่ใช้ภาษาอิหร่านเหมือนกัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทั้ง2 ประเทศจะใช้ล่ามและใช้ภาษาของตนเองได้อย่างสบายใจ ก็จะได้ไม่ต้องมีภาพอ่านสคริปต์อยู่ตลอดแบบนั้น คือจริงๆ ควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ จึงมีคำถามว่าแล้วเลือกวิธีนี้เพื่ออะไร เลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษแล้วมีบางถ้อยคำยาวๆ ที่ตนเองไม่ถนัด แล้วก็จะต้องหันมาหาล่ามฝ่ายไทย ซึ่งจริงๆ น่าจะพูดคุยกันก่อนว่าเวทีนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษา นายกฯ ก็จะได้พูดได้เต็มที่
“สาระคืออย่างนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จบ ภาพก็ออกมาสวยงาม แล้วตอบได้ด้วยว่าเพื่อเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย แล้วก็วันนี้มีความขัดแย้งของตะวันตกกับอิหร่าน อะไรอย่างนี้
อยู่ เลือกที่จะใช้ภาษาของตัวเอง มันมีคำตอบที่จะอธิบายได้สวยงามกว่าที่จะมาบอกว่าบางคำเป็นคำที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใครๆ ในโลกก็ทำกัน มันมีความต่างกันอยู่ที่เวทีทั่วไปกับเวทีกับคู่เจรจา” น.ส.รัชดา กล่าว
อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า จริงๆ แล้วไม่มีใครที่รู้รายละเอียดได้ทุกเรื่อง อีกทั้งงานในฐานะนายกฯ ก็มีมาก เรื่องจำไม่ได้แล้วต้องมีตัวช่วยก็ถือว่าปกติ แต่ก็อยากให้อ่านให้คล่องสักหน่อย เพราะแสดงถึงการไม่เตรียมความพร้อม ใครส่งสคริปต์อะไรมาให้หน้างานแล้วก็มาอ่านแบบตะกุกตะกัก
น.ส.แพทองธาร ต้องเข้าใจว่า สังคมจับจ้องและคาดหวังว่านายกฯ จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่พูดจาคล่องแคล่วและมีความรู้
ดังนั้นกรณีให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศไทย อย่างน้อยขอเวลาเตรียมตัวสัก 15 นาที ภาพที่ออกมาจะดูดีกว่า ขณะที่เวทีต่างประเทศ ในบริบทหนึ่งการอ่านสคริปต์นั้นเข้าใจได้เพราะไม่อาจให้มีข้อผิดพลาด แต่อีกบริบทหนึ่งที่เป็นการพูดคุย 2 ฝ่ายระหว่างผู้นำประเทศ แบบนี้ไม่สามารถอ่านสคริปต์ได้ เพราะต้องมีการสบตา (Eye Contact) กันด้วยระหว่างสนทนา อย่างไรก็ตาม ตนก็มีคำถามเรื่องทีมงานรอบข้าง น.ส.แพทองธาร เช่นกัน เพราะก็มีข้อสงสัยตั้งแต่การมาร่วมรายการนี้เมื่อครั้งก่อน (สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง ในตอนที่เผยแพร่ ณ วันที่ 16 พ.ค. 2567)
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากทีมงาน หรือจากตัวของ น.ส.แพทองธาร แต่ผลก็คือไม่ดีกับนายกฯ แน่นอน อย่างในส่วนของทีมงาน ก็ไม่น่าจะตัดภาพโดยเลือกภาพที่นายกฯ จ้องหน้าจอแท็บเลตอ่านสคริปต์ออกมาเผยแพร่ ส่วนท่าทีของ น.ส.แพทองธาร ที่มองว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาจากความอคติ ก็อยากให้ลองมองย้อนไปในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ขณะเป็นนายกฯ ก็โดนโจมตีเยอะมากเรื่องที่ไม่เป็นความจริงก็มี
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะแบ่งการรับมือเป็น 2 กรณี คือหากเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมปั่นป่วนก็จะให้ทีมโฆษกชี้แจง แต่หากเป็นเรื่องส่วนตัวก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว ถือเสียว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงออก ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่สังคมจะตัดสินเอง “การต่อปากต่อคำในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง..ทำไปก็ไม่ได้อะไร” อย่างครั้งนี้พอ น.ส.แพทองธาร ออกมาตอบโต้จากเรื่องจ้องหน้าจออ่านสคริปต์ก็กลายไปเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ เกิดคำถามว่าทำไมไม่รู้จักอดทนอดกลั้น คือถูกขยายความออกไปโดยไม่จำเป็น จากเรื่องเดียวกลายเป็นเรื่องอื่นๆ ตามมาซึ่งไม่คุ้ม
ส่วนที่มีการเปรียบเทียบ น.ส.แพทองธาร กับผู้เป็น “อาหญิง” อย่างอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตนมองว่าก็มีหลายส่วนที่คล้ายกัน เช่น น้ำเสียง หน้าตา ขณะที่ส่วนของการทำงาน หากให้พูดอย่างกลางๆ คือทำงานวันนี้ก็ต้องใช้เวลากว่าผลงานจะเกิดขึ้น แต่ระหว่างนั้น “การสร้างความมั่นใจ-ความศรัทธากับประชาชนเป็นสิ่งสำคัญมาก” หากปล่อยให้มีวาทกรรมหรือมีการถกเถียงในเรื่องเหล่านี้ไม่ถือเป็นเรื่องดีต่อคนเป็นผู้นำ โดยเฉพาะกับ น.ส.แพทองธาร ซึ่งอยู่ในยุคที่กระแสในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ไปไกลกว่ามากเมื่อเทียบกับสมัยของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์
“คุณจะมาตอบโต้ชี้แจง หรือมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบยุคที่มีสื่อด้านเดียว ฉันอยากจะจ้างสื่อพวกเดียวกันแล้วก็ให้ข้อมูลด้านเดียว ซื้อสื่อวิทยุอะไรแบบนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้ วันนี้ทุกคนคือผู้สื่อข่าวและผู้รับรู้ข่าว คุณใช้เงินจัดการไม่ได้ หลายเรื่องควรเป็นข่าวแต่สื่อหลักไม่เผยแพร่แต่ประชาชนเอามาเผยแพร่แล้วมันไปไกลกว่าที่จะควบคุมได้ สุดท้าย
สื่อหลักก็ต้องหยิบที่สังคมเขาพูดอะไรกันมาออกเป็นข่าวคุณก็ปฏิเสธตรงนั้นไม่ได้
ดังนั้นยุทธศาสตร์การสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ จะคิดเหมือนยุคก่อนๆ ที่เงินสามารถปิดปากสื่อได้คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว และอย่าคิดว่าฉันมีบารมีจะพูดอะไรคนก็ฟัง อย่าทำอะไรที่เป็นการท้าทายความรู้สึกของประชาชน เพราะในโลกโซเชียลมันไม่มีใครเหนือกว่าใคร ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพหน้าจอของฉัน” อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ
น.ส.รัชดา ยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่เป็นทีมงานรอบข้าง อย่างไรก็ต้องพูดเพราะหากปล่อยไปคนที่เจ็บตัวก็คือนายกฯ และองคาพยพ ดังนั้นก็ต้องคุยกันว่าด้วยสถานะความเป็นผู้นำประเทศ ท่ามกลางบรรยากาศที่ความขัดแย้งยังดำรงอยู่ จงอย่าคาดหวังว่าทุกคนจะต้องรักเรา แต่ต้องเตรียมพร้อมรับเสียงสะท้อนจากคนที่ไม่ชอบและอาจยกระดับไปถึงเกลียดชัง จะอยู่กับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร และนำเสนอว่าตนเองเป็นผู้นำประเทศของคนทุกคน ต้องให้มีภาพว่าอยู่เหนือความขัดแย้ง ใครด่ามาก็ไม่ท้อ
ยิ่งเป็นผู้หญิงอายุน้อย หากวางตัวนิ่งๆ ได้ คนจะยิ่งศรัทธา “เพราะเราไม่สามารถเอาใจทุกคนได้ และไม่ว่าใครจะด่าจะว่าเราอย่างไร ความดีและความตั้งใจที่เราทำจะเป็นเครื่องพิสูจน์” การถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติที่จะต้องอยู่กับมันให้ได้ อย่าลืมว่าสมัยที่พรรคการเมืองของ น.ส.แพทองธาร เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้านทำอะไรไว้บ้าง ดังนั้นเมื่อมาเป็นผู้นำรัฐบาล แถมยังต้องแบกรับในสิ่งที่พ่อของนายกฯ เคยสร้างความขุ่นเคืองกับสังคม ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้และมุ่งไปที่การทำงาน คือมองให้เป็นสัจธรรม
แต่หากยังคงยืนยันจะแสดงออกแบบนี้ต่อไป ก็มีผลต่อความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและนานาชาติ อย่างเรื่องที่ไปกล่าวอะไรในเวทีระหว่างประเทศแล้วมีภาพให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สถานทูตทุกประเทศเขาก็ติดตามอยู่ ทั่วโลกกำลังจับตาดูศักยภาพ หากวางตัวได้ดีก็จะมีเสียงชื่นชมว่าแม้ น.ส.แพทองธาร จะไม่เคยมีตำแหน่งทางการเมือง แต่ด้วยความที่โตมากับประสบการณ์การทำงานกับพรรคการเมือง เมื่อขึ้นมาบริหารประเทศก็ทำได้ หากทำได้ดีคนก็หยิบยกเป็นแบบอย่าง แต่หากทำไม่ได้คนก็จะไม่เชื่อมั่นพูดอะไรออกมาคนก็จะถามว่าทำได้จริงหรือ
ขณะที่ภายในประเทศ “การที่ผู้คนต้องเผชิญปัญหา เช่น เศรษฐกิจ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การมีผู้นำที่ไม่รู้จะฝากความหวังได้หรือไม่ก็ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข” และหากต้องเผชิญสถานการณ์ระดับวิกฤตที่ยิ่งยากลำบากมากขึ้น ซึ่งต้องการความร่วมมือร่วมใจกัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีความศรัทธาในตัวของผู้นำ อย่างที่ประเทศไทยได้รับเสียงชื่นชมจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่ารับมือสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้ดี เนื่องจากรัฐบาลขณะนั้นนายกฯ เข้มแข้ง มีคณะทำงาน มุ่งมั่นและทำอย่างชัดเจน แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ในช่วงแรกๆ ก็ตาม
“ในยามวิกฤตเราจะเห็นว่าถ้าประชาชนมีความมั่นใจในตัวผู้นำนั้นสำคัญมาก เวลานี้ท่านนายกฯ อาจจะรู้สึกว่าเธอ อย่ามาจับจ้อง-จับผิดฉันเลย มันไม่ใช่! การที่เขาจับจ้องมองทุกฝีก้าว เพียงเพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับตำแหน่งคนเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าเขาไม่ให้ความสำคัญก็ไม่มีใครอยากจะไปพูดถึงเสียเวลา” อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฝากข้อคิด
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี