LIFE & HEALTH : ความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน

LIFE & HEALTH : ความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน

วันพุธ ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.
Tag :

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หรือที่เรียกว่า Acute Leukemia เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดขาวภายในไขกระดูก ซึ่งทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รบกวนกระบวนการสร้างเซลล์เลือดปกติ ทำให้ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดลดลง ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก

โรคนี้ถือว่าเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มเด็ก โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 25–30 ของผู้ป่วยมะเร็งเด็กทั้งหมด สำหรับประเทศไทยเอง พบว่าเด็กไทยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 38.1 ของผู้ป่วยมะเร็งเด็กทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการเฝ้าระวัง การวินิจฉัยเร็ว และการให้การรักษาอย่างทันท่วงที


ประเภทของโรคโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่

- Acute Lymphoblastic Leukemia (ALL): เป็นชนิดที่พบได้บ่อยในเด็กมากที่สุด เกิดจากความผิดปกติของลิมโฟบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่พัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์

- Acute Myeloid Leukemia (AML): พบได้น้อยกว่าในเด็ก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดที่พัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์

การวินิจฉัยแยกประเภทมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากแต่ละชนิดมีวิธีการรักษา การตอบสนองต่อยา และแนวโน้มการหายที่แตกต่างกัน

สาเหตุของการเกิดโรค ข้อมูลจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ  และ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ปัจจัยที่พบว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับพยาธิสภาพการเกิดโรค นั่นคือ อาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะสุขภาพของมารดาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ อาจจะส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เช่น การสูบบุหรี่ โดยทำให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของลูกได้

ความก้าวหน้าในการรักษา

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กในปัจจุบันมักประกอบด้วยหลายแนวทางร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการหายขาดและลดผลข้างเคียง เช่น

  1. เคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นแนวทางหลักในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก โดยใช้ยากลุ่มต่าง ๆ เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งและควบคุมการแพร่กระจายของโรค
  2. การรักษาเป้าหมาย (Targeted Therapy): ใช้ยาที่ออกแบบเฉพาะเพื่อจับคู่กับโปรตีนหรือยีนในเซลล์มะเร็ง เช่นยาที่มุ่งเน้นไปที่การยับยั้งการทำงานของโปรตีนเฉพาะในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด
  3. การรักษาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): การใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เช่น ยา BiTEs หรือการบำบัดด้วย CAR-T cells ซึ่งได้พัฒนาและนำมาใช้ในการรักษาในผู้ป่วยเด็กบางราย
  4. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Transplantation): ในบางกรณีที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด อาจพิจารณาการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคพี่น้องของผู้ป่วย หรือจากบุคคลอื่นจากสภากาชาดไทย หรือพ่อหรือแม่ซึ่งปกติรักษาด้วยวิธีนี้ยากมาก มีไม่กีแห่งในประเทศไทยที่ทำกันได้

ความคืบหน้าในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กเป็นสิ่งที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทคโนโลยีและการวิจัยใหม่ ๆ ทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นและผลข้างเคียงลดลง สำหรับการวินิจฉัยและแผนการรักษา ควรปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งเด็กที่สามารถให้คำแนะนำแบบเฉพาะบุคคลได้ดีที่สุด

การรักษามะเร็งในเด็กด้วย immunotherapy เป็นแนวทางที่น่าจับตามอง เน้นใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีข้อดีคือมักให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าการเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม และสามารถเจาะจงเป้าหมายได้ดีขึ้น ปัจจุบัน การใช้ immunotherapy ในเด็กสำหรับมะเร็งบางชนิดยังอยู่ในระยะทดลองหรือการนำมาใช้ในกรณีเฉพาะ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างการใช้ immunotherapy ในเด็ก ได้แก่:

  1. CAR-T Cell Therapy: เทคโนโลยีนี้เป็นการดัดแปลงเซลล์ T ของผู้ป่วยให้สามารถจดจำและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างเฉพาะเจาะจง เช่นในมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (ALL) ซึ่งมีผลตอบรับดีในหลายกรณี
  2. Antibody Therapy: ใช้ยาแอนติบอดีที่เจาะจงต่อโปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง เช่น ยา BiTEs ที่จับกับโปรตีนในเซลล์มะเร็ง เพื่อกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลาย
  3. Checkpoint Inhibitors: ยาเหล่านี้ช่วยปลดล็อกกลไกของระบบภูมิคุ้มกันที่อาจปิดการทำงานเพื่อไม่ให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ซึ่งในเด็กยังเป็นการทดลองและศึกษาวิจัยอยู่ในขั้นต้นเมื่อเทียกกับในผู้ใหญ่

การเลือกใช้ immunotherapy ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึงสภาพร่างกายของเด็ก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าในการวิจัยและเทคโนโลยีในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง

CAR T cell ในการรักษามะเร็ง โดยเฉพาะ CAR CD 19 ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมพเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด บี เซลล์ ที่คณะแพทญสาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มทำการวิจัยและรักษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ปัจจุบันรักษาคนไข้ดังกล่าวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปแล้ว 35 ราย ผลการรักษาโดยรวมผู้ป่วยโรคสงบถึงร้อยละ 80 โดยผู้ป่วยดื้อต่อการรักษาอื่นๆ ทั้งนี้ มีผู้ป่วย 1 ราย เป็นโรค SLE สามารถรักษาให้โรคสงบได้

กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ คืนชีวิตใหม่..ให้ผู้ป่วยมะเร็งเด็ก

นับตั้งแต่  กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงรับกองทุนโรคมะเร็งในเด็กไว้ในพระอุปถัมภ์ จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ทรงมีพระเมตตาช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในรพ.กว่า 20 แห่ง รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือคือ ช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก เวชภัณฑ์ต่างๆด้วย สามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร 0-2718-3800 ต่อ 123 ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้  รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/

13 กรกฎาคม นี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันถวายพระพร ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ตลอดไป

 

ผ.ศ. (พิเศษ) ดร. เภสัชกร อภิสิทธิ์  ฉัตรทนานนท์

กรรมการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top