สัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วินเซนต์ เป็นที่คุ้นหูของคนที่ติดตามข่าวสารในไทยจำนวนมาก หลังจากที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เผยแพร่เอกสารคำฟ้องยื่นต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในเขตบรุกลิน เมืองนิวยอร์ก เพื่อดำเนินคดีกับ เฉิน จื้อ วัย 37 ปี สัญชาติสหราชอาณาจักรและกัมพูชา ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) หรือ ปรินซ์ กรุ๊ป (Prince Group) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ในกัมพูชา ในข้อหาคบคิดฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์และคบคิดฟอกเงิน
เนื้อหาในคำฟ้องระบุว่า เฉิน จื้อ เป็นผู้สั่งการให้กลุ่มบริษัทปรินซ์ กรุ๊ป ดำเนินการศูนย์หลอกลวงโดยการบังคับใข้แรงงานทั่วประเทศกัมพูชา บุคคลที่ถูกควบคุมตัวไว้โดยไม่สมัครใจในศูนย์เหล่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการหลอกลวงให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ที่เรียกว่า 'เกมเชือดหมู' หรือ pig butchering ขุนให้อ้วนแล้วชำแหละ ด้วยการติดต่อเหยื่อผ่านทางสื่อโซเชียล และโน้มน้าวชักจูงสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เหยื่อโอนเงินคริปโต ล่อลวงว่าเป็นการลงทุนและหากำไรงาม แล้วจึงฉกเงินไป จนสามารถโกงเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากผู้เสียหายในสหรัฐฯ และทั่วโลก ปัจจุบัน เฉิน จื้อ อยู่ระหว่างการหลบหนี
สำนักงานอัยการสหรัฐฯ ประจำเขตนิวยอร์กตะวันออก และแผนกความมั่นคงแห่งชาติของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยังได้ยื่นคำร้องทางแพ่งเพื่อริบทรัพย์เป็นบิตคอยน์ มูลค่าประมาณ 127,271 บิตคอยน์ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 487,950 ล้านบาท) ระบุว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาและเป็นเครื่องมือในการฉ้อโกงและฟอกเงินของจำเลย ขณะนี้ สกุลเงินดิจิทัลของจำเลยอยู่ในความดูแลของรัฐบาลสหรัฐฯ คำร้องดังกล่าวเป็นการดำเนินการริบทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เมลา บอนดี รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐ มีคำแถลงเรื่องนี้ว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นการต่อต้านภัยร้ายระดับโลกจากการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางไซเบอร์
เฉิน จื้อ คือใคร?
เฉิน จื้อ เป็นนักธุรกิจที่อพยพจากจีนมายังกัมพูชา ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ปรินซ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในกัมพูชาที่ดำเนินธุรกิจหลายสิบแห่งในกว่า 30 ประเทศในปี 2558 และเป็นประธานบริษัท กลุ่มบริษัทปรินซ์ กรุ๊ป เปิดเผยตนว่าดำเนินงานด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และบริการสำหรับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม โดยลับ ๆ แล้ว จำเลยและผู้บริหารระดับสูงได้ทำให้กลุ่มบริษัท ปรินซ์ กรุ๊ป เติบโตกลายเป็นหนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ปรินซ์ กรุ๊ป ครอบครองแหล่งสแกมจำนวนอย่างน้อย 10 แห่งในกัมพูชา เช่น ฟาร์มมือถือ ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มากมายนับพัน ควบคุมบัญชีโซเชียลหลายหมื่นบัญชี เพื่อที่จะใช้เข้าถึงและหลอกลวงเหยื่อทั่วโลกให้มากที่สุด รวมถึงขึ้นชื่อเรื่องบังคับใช้แรงงานค้ามนุษย์ ข่มขู่ และกักขังในหอพักที่มีลักษณะคล้ายเรือนจำ
ปรินซ์ กรุ๊ป อยู่ในแถวหน้ากลุ่มธุรกิจสีเทาที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในกัมพูชา จนขนานนามได้ว่าเป็นการลงทุนโดยตรงของอาชญากรในกัมพูชา โดยเฉพาะชาวจีนหลั่งไหลเข้าไปหลังจากที่ถูกรัฐบาลจีนปราบปรามอย่างหนัก ด้วยความเนื้อหอมจูงใจจากการขาดการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด และระบบอุปถัมภ์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ ในช่วงปี 2552-2566 มีชาวต่างชาติได้รับสัญชาติกัมพูชามากมาย รวมถึงอาชญกรทีมีคดีติดตัว
ว่ากันว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เฉิน จื้อ เป็นใหญ่และสร้างธุรกิจเติบโต คืออิทธิพลทางการเมือง และการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยตั้งแต่ได้รับสัญชาติกัมพูชาเมื่อปี 2557 เฉิน จื้อ บริจาคเงินให้รัฐบาลกัมพูชาตามที่เปิดเผยมากกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีสายสัมพันธ์กับผู้นำระดับสูงในพรรคประชาชนกัมพูชา เริ่มจากเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและร่วมธุรกิจครอบครัวของ ซอ เค็ง รัฐมนตรีมหาดไทยกัมพูชาในเวลานั้น จนมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ ฮุนเซน ประธานรัฐสภา ในปี 2563 และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี แถมได้บรรดาศักดิ์ 'เนี้ยก ออกญา' ซึ่งเป็นลำดับสูงสุดของบรรดาศักดิ์ออกญา ทำให้เชื่อว่า เขาเป็นหัวเรือใหญ่ของอุตสาหกรรมหลอกหลวงออนไลน์ที่โยงใยยึดโยงกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างแนบแน่น
แหล่งข่าวที่เป็นคนใกล้ชิดเคยบอกว่า เฉิน จื้อ สร้างตนเองจนขึ้นไปอยู่สูงสุดของปิระมิดแห่งอำนาจ ทรงพลังราวกับสมาชิกตระกูลฮุน คนหนึ่ง แม้แต่การจัดประชุมอาเซียน เขายังเป็นผู้มอบทุนให้ต้อนรับคณะต่างชาติ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลในรายงานชื่อ นโยบายและรูปแบบ: อาชญากรรมข้ามชาติที่รัฐให้การสนับสนุนในกัมพูชาในฐานะภัยคุกคามความมั่นคงโลก ของ เจค็อบ ซิมส์ นักวิจัยของศูนย์เอเชีย แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่พบหลักฐานและพยานที่ยืนยัน ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจการเมืองของพรรคประชาชนกัมพูชากับธุรกิจมืด ฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐไม่ได้ต้องการเพียงหลิ่วตาแล้วรับซองเท่านั้น แต่ต้องการเข้าร่วมเป็นผู้ก่อการด้วย
อย่างไรก็ดี เฉิน จื้อ ปรากฎตัวในที่สาธารณะน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นงานสังคมและรับรางวัลต่างๆ ที่เหลือคือการใช้เงินที่หลอกลวงผู้คนมาได้ไปกับท่องเที่ยว ซื้อข้าวของฟุ่มเฟือย เช่น เรือยอชต์ และงานศิลปะหายาก รวมถึงภาพวาดของปิกัสโซผ่านการประมูลในนครนิวยอร์ก
เคยถูกลักพาตัวในไทย
เมื่อไปพลิกประวัติพบว่า เฉิน จื้อ เคยถูกอุ้มเรียกค่าไถ่กลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 เฉิน จื้อ ขณะนั้นมีอายุ 27 ปี ถูกกลุ่มผู้ต้องสงสัยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ล็อกตัวบังคับให้ขึ้นรถ จากหน้าอาคารใบหยก 2 ย่านประตูน้ำ
วันถัดมา กลุ่มชาวจีนราว 20 คนเข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน. พญาไท เพื่อช่วยเหลือติดตามเพื่อนนักธุรกิจหนุ่มของพวกเขา ที่ถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ จากคำให้การของกลุ่มเพื่อน เฉิน จื้อ ถือสองสัญชาติจีนและกัมพูชา เป็นดาวรุ่งมือทองจับธุรกิจค้าขายและอสังหาริมทรัพย์ ถูกกลุ่มชายไทย 3-4 คน อ้างว่าเป็นตำรวจมีหมายจับจากจีน นำตัวขึ้นรถก่อนไปกักขังหน่วงเหนี่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วโทรศัพท์ติดต่อญาติขอเงินค่าไถ่จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อแลกกับอิสรภาพของผู้เสียหาย มีการเจรจาต่อรองจำนวนเงินหลายครั้งสุดท้ายทางญาติยอมที่จะให้เงินแก่จำเลยจำนวน 16 ล้านบาท และนัดส่งมอบเงินสดกันบริเวณลานจอดรถ สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี แต่จำเลยก็ไม่ยอมมารับเงิน ก่อนจะพาผู้เสียหายไปปล่อยทิ้งไว้บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนกลางดึกวันที่ 14 พฤศจิกายน ตำรวจนครบาลแจ้งว่า พบตัว เฉิน จื้อ แล้วที่ประเทศกัมพูชา
คดีนี้ตำรวจสืบสวนขยายผลต่อ จนผ่านไปราวสัปดาห์ วันที่ 22 พฤศจิกายน สามารถจับกุมคนร้าย คือ ด.ต.ศุภณัฏฐ์ ชูชัยปัญญาพงศ์ อายุ 45 ปี ผบ.หมู่ สส. สน.ดอนเมือง ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2559 ศาลอาญาได้พิพากษาให้ ด.ต. ศุภณัฏฐ์ จำคุก 10 ปี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด
คดีจบไป แต่ยังมีเงื่อนงำ ความลึกลับซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงระหว่างเรียกค่าไถ่ ญาติของ เฉิน จื้อ ยอมจะมอบเงินให้ 16 ล้านบาท แต่เหตุใด ด.ต. ศุภณัฏฐ์กลับไม่มารับเงิน แล้วนำตัวนายเฉิน จื้อไปปล่อยทิ้งไว้บริเวณชายแดนกัมพูชา จะด้วยเหตุหวาดกลัวว่าจะถูกจับกุมเพราะสื่อมวลชนเสนอข่าวครึกโครม หรือมีเหตุปัจจัยอื่นใด นอกจากนี้ ตำรวจและสื่อมวลชนยังจับสังเกตว่า กลุ่มเพื่อนผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความบ่ายเบี่ยง ไม่เต็มใจให้ข้อมูลเต็มที่ มีพฤติกรรมปิดบังข้อมูลของตัวเอง แสดงความไม่พอใจเมื่อนักข่าวบันทึกภาพ จนในช่วงแรกตำรวจสงสัยว่า อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคู่อริชาวจีนหรือการจัดฉาก
ที่สำคัญ หลังจากที่เป็นอิสระแล้ว ระหว่างเดินทางจากกัมพูชามาไทยเพื่อให้ปากคำกับตำรวจ เฉิน จื้อ ยังปฏิเสธการคุ้มครองของตำรวจไทย อ้างว่าต้องการให้กลุ่มเพื่อนที่กัมพูชาดูแลเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหายหน้าจากพื้นที่สื่อ ไปโผล่อีกทีที่กัมพูชา และสร้างชื่อใหมจนกลายเป็นข่าวในทุกวันนี้ ก่อนจะหายวับไปอีกครั้ง
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี