กรมวิทย์ฯ เปิดให้ดาวน์โหลดหนังสือเครื่องยาสมุนไพรไทยฟรี

กรมวิทย์ฯ เปิดให้ดาวน์โหลดหนังสือเครื่องยาสมุนไพรไทยฟรี

วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เก็บรวบรวมข้อมูลเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย  จัดพิมพ์เป็นหนังสือและเผยแพร่ผ่านโซเชียลแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้และยกระดับสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจสุขภาพ พร้อมเปิดให้ดาวน์โหลดฟรี

ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 

 


ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เครื่องยาสมุนไพรเป็นส่วนของพืชที่ใช้เป็นยาและมักถูกตัดเป็นชิ้นแล้วทำให้แห้ง ซึ่งยากต่อการระบุชนิดของพืชที่ใช้เป็นเครื่องยา จึงมักเกิดปัญหาในการใช้ เช่น การปลอมปน การใช้ผิดชนิด การนำมาใช้ทดแทนจนเข้าใจผิดว่าเป็นชนิดเดียวกัน เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันการใช้สมุนไพรได้รับความนิยมมากขึ้นและมักพบการปลอมปนของสมุนไพรที่จำหน่ายในท้องตลาด สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงให้ความสำคัญกับชนิดของเครื่องยาสมุนไพรเป็นอันดับแรก โดยทำการศึกษาเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างละเอียดด้วยการตรวจดูลักษณะภายนอก การศึกษาเนื้อเยื่อที่ตัดให้บางและในสภาพเป็นผงยาด้วยกล้องจุลทรรศน์และนำไปใช้ในการตรวจสอบ เพื่อควบคุมคุณภาพของเครื่องยาสมุนไพร เช่น ตรวจยืนยันชนิดเครื่องยา ตรวจการปลอมปนของเครื่องยาสมุนไพร เป็นต้น โดยรวบรวมข้อมูลพร้อมจัดพิมพ์เป็นหนังสือ “เอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ซึ่งมีการจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ไปแล้ว จำนวน 3 เล่ม โดยเล่มแรกจะมีข้อมูลด้านเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของสมุนไพร 14 ชนิด และเล่ม 2 จำนวน 20 ชนิด ปัจจุบันได้จัดทำเป็นเล่มที่ 3 ประกอบด้วยข้อมูลด้านเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของสมุนไพร 12 ชนิด

 

ดร.นพ.สราวุฒิ กล่าวต่ออีกว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาจากตัวอย่างเครื่องยาสมุนไพรอ้างอิงที่ได้จากพืชที่ตรวจระบุชนิดถูกต้องแล้วตามหลักอนุกรมวิธานพืช ทั้งนี้ ยังศึกษาตัวอย่างจากแหล่งต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งการศึกษาเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทมีความสำคัญมาก โดยใช้ในการจัดทำข้อกำหนดมาตรฐานทางเภสัชเวทในตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia) เพื่อใช้เป็นตำรายาอ้างอิงทางกฎหมายในการควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร ตำรานี้ประกอบด้วยข้อกำหนดมาตรฐานทั้งด้านเภสัชเวทและพฤกษศาสตร์ รวมถึงข้อมูลทางเคมี-ฟิสิกส์ที่สำคัญ

นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับความปลอดภัย ขนาดการใช้ยาเบื้องต้น และวิธีการเก็บรักษายาสมุนไพร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการขึ้นทะเบียนตำรับยา และควบคุมคุณภาพของยาสมุนไพร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการพึ่งพาตนเอง และสนับสนุนธุรกิจการส่งออกสมุนไพร ขณะนี้ได้จัดทำตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย ฉบับเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2567 มีสมุนไพรขึ้นทะเบียนแล้ว 151 ชนิด และกำลังพัฒนาและรวบรวมเพื่อจัดทำให้เป็นปัจจุบัน

 

“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้รวบรวมตัวอย่างเครื่องยาสมุนไพรอ้างอิงและจัดแสดงไว้ที่ศูนย์เครื่องยาสมุนไพร รวมถึงได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย และเผยแพร่ผ่านโซเชียลแพลตฟอร์ม เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและงานวิจัย มีการประยุกต์ใช้ AI เพื่อสนับสนุนบุคลากรในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูล โดยหนังสือเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทยได้เผยแพร่ให้สถานศึกษาและหน่วยงานวิจัย ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้วิจัยด้านสมุนไพร ผู้ประกอบการด้านสมุนไพร และประชาชนผู้สนใจ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

ทั้งนี้ ศูนย์เครื่องยาสมุนไพร ยังเปิดให้นักเรียน นักศึกษา หรือผู้สนใจ เข้าชมฟรี โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร.02-9510000 ต่อ 99386 หรือโหลดหนังสือได้ที่ https://mpri.dmsc.moph.go.th/page-view/445  ” ดร.นพ.สราวุฒิ กล่าว

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top