เรียนรู้เรื่อง โรคเบาหวาน

เรียนรู้เรื่อง โรคเบาหวาน

วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.30 น.

วันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) จัดขึ้นโดย องค์การอนามัยโลก (WHO) และ สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) เป็นประจำทุกปีในวันที่ 14 พฤศจิกายน โดยจะมีการกำหนดธีมรณรงค์สำหรับแต่ละปี ซึ่งเป็นจุดประสงค์ในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคเบาหวานทั่วโลก โดย วันเบาหวานโลก 2025 ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อ Diabetes & Well-being in the Workplace – ทำงานสุข ลดทุกความเสี่ยง สุขภาพดี เริ่มที่ทำงาน

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลต่อหลอดเลือด หัวใจ ไต ตา และระบบประสาท


แพทย์หญิงนันทิยา ธีระภคนันท์ อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล 

 

ข้อมูลจาก แพทย์หญิงนันทิยา ธีระภคนันท์ อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่

  1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย มักพบในเด็กและวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน
  2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): ร่างกายสร้างอินซูลินได้แต่ใช้งานไม่ได้เต็มที่ มักพบในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด
  3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes): เกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งส่วนใหญ่มักหายไปหลังคลอด แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

 

แม้ในระยะแรกของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยจำนวนมากอาจยังไม่รู้ตัว แต่ร่างกายจะเริ่มส่ง “สัญญาณเตือน” หลายอย่างที่ควรสังเกต ได้แก่

  1. ปัสสาวะบ่อย ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้มีน้ำตาลรั่วออกทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมากและบ่อย
  2. กระหายน้ำผิดปกติ เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย จะทำให้รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา
  3. หิวบ่อยแต่ น้ำหนักลด ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ จึงเกิดความรู้สึกหิวบ่อย แม้จะรับประทานมากแต่น้ำหนักกลับลดลง
  4. เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เนื่องจากเซลล์ไม่ได้รับพลังงานจากน้ำตาลอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย
  5. แผลหายช้า ติดเชื้อง่าย ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง ส่งผลให้แผลหายช้า โดยเฉพาะที่เท้าและขา
  6. ตามัว เห็นภาพเบลอ น้ำตาลในเลือดสูงอาจทำให้ของเหลวเข้าสู่เลนส์ตา เกิดการบวมชั่วคราวและมองเห็นไม่ชัด

ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง คือ พันธุกรรมหรือมีคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน, น้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนลงพุง, ขาดการออกกำลังกาย, รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ,ความเครียดและการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ

ปัจจุบันสามารถวิธีตรวจและวินิจฉัยโรคเบาหวานได้หลายวิธี เช่น ตรวจระดับน้ำตาลหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หรือ Fasting Blood Sugar (FBS), ตรวจระดับน้ำตาลสะสมย้อนหลัง 3 เดือน หรือ HbA1c Test, ตรวจหลังดื่มน้ำตาล หรือ Oral Glucose Tolerance Test (OGTT)

 

โรคเบาหวานเป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยแนวทางการรักษาประกอบด้วย

  1. การปรับพฤติกรรมและการดูแลตนเอง การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ไม่หวาน ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ, การลดอาหารหวาน มัน เค็ม และควบคุมปริมาณข้าวหรือคาร์โบไฮเดรต, การออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์, การพักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด
  2. การใช้ยา แพทย์จะพิจารณาการให้ยาอย่างเหมาะสม โดยดูหลายองค์ประกอบ ทั้งโรคร่วม และระดับน้ำตาล เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งในแง่การลดน้ำตาลในเลือด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต เช่น โรคไต หรือ  โรคหัวใจ
  3. การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FBS, HbA1c) ทุก 2-6 เดือน, ตรวจการทำงานของไต ดวงตา และปลายประสาทเป็นประจำ, ปรึกษาแพทย์ชำนาญการเพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

แนวทางดูแลตัวเองเมื่อเริ่มมีอาการเบาหวานระยะแรก ดังนี้ ปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นหลัก, ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที/วัน, ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ, นอนพักผ่อนให้เพียงพอ, พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, ไตวายเรื้อรัง, เบาหวานขึ้นตา จนถึงขั้นตาบอด, เส้นประสาทเสื่อม ชาปลายมือปลายเท้า หรืออาจเกิดแผลแนวทางป้องกันโรคเบาหวานสามารถทำได้โดย ได้แก่ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์, รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 3–5 วันต่อสัปดาห์, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ และตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ

 

การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ง่ายขึ้น ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไตวาย ตาบอด หรือปลายประสาทเสื่อม และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานระยะแรกมักจะไม่มีอาการเลย หากไม่ได้ตรวจร่างกายเป็นประจำก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ เช่น ปัสสาวะบ่อย เหนื่อยง่าย หิวบ่อย ก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามีระดับน้ำตาลที่ค่อนบ้างสูงแล้ว ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพกับแพทย์ เพื่อป้องกันก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

 

ผ.ศ. (พิเศษ) ดร. เภสัชกร อภิสิทธิ์  ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top