วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏานเสด็จจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ พร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัย และนิสิตภูฏานที่ศึกษาอยู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเฝ้าฯ รับเสด็จ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
.jpg)
ในการนี้ ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ แด่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ในฐานะที่ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกรด้วยพระราชหฤทัยตั้งมั่นอยู่บนการพัฒนาอันยั่งยืน ทรงให้ความสำคัญด้านการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ทรงดำเนินโครงการในพระราชดำริโดยให้ความสำคัญแก่เยาวชนและเด็ก ทรงเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และทรงสนับสนุนการมี ส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามวิถีประชาธิปไตย และทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา แด่ สมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา วังชุก ในฐานะที่ทรงเป็นนักพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน ทรงมีพระปรีชาญาณ พระเมตตาและพระวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวภูฏานทั้งในด้านสุขภาวะ ความเสมอภาค การอนุรักษ์และการพัฒนา และนำพาประเทศไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ จากนั้น ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแก่นิสิตภูฏานแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก จำนวน 5 ทุน และถวายแด่สมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา วังชุกจำนวน 5 ทุน
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระราชทานพระราชดำรัสถึงพระราชปณิธานแห่งการรับใช้ประชาชน ในฐานะพระประมุขของราชอาณาจักรภูฏาน ความสำคัญว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ผู้ทรงรับพระราชภารกิจในการสืบสานพระราชปณิธานจากบูรพมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง ข้าพเจ้าเฝ้ามองพระองค์ด้วยความชื่นชมในความสง่างามและความมุ่งมั่นที่ทรงมีต่อการศึกษา การสาธารณสุข และการพัฒนาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของราษฎรไทย
.jpg)
อีกทั้งข้าพเจ้ายังได้รับแรงบันดาลใจจากบทสนทนาระหว่างข้าพเจ้าและพระราชบิดาที่ว่า "เจ้ามิได้มีหน้าที่รับใช้เรา แต่เจ้ามีหน้าที่รับใช้ชาติและประชาชน" ซึ่งข้าพเจ้าได้ประจักษ์ในภาพเดียวกันนั้นจากสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีที่ทรงเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อแผ่นดินไทยด้วยความเข้มแข็งอย่างน่าเลื่อมใสยิ่ง
บทเรียนจากสองมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในการก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าโชคดีที่มีครูผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน ท่านแรกคือ พระราชบิดาของข้าพเจ้า ผู้สอนให้รู้ว่าเป้าหมายเดียวของกษัตริย์คือการรับใช้ประชาชน และท่านที่สองคือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ พระองค์ทรงเป็น "กษัตริย์นักพัฒนา" ผู้ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อเข้าถึงปัญหาที่แท้จริงของราษฎร ปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระองค์คือต้นแบบแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำมิลืมเลือนคือ "ความอ่อนน้อมถ่อมตน" ที่พระองค์ทรงมีตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์
.jpg)
มิตรภาพที่ไร้กาลเวลา ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2549 เมื่อครั้งข้าพเจ้ามาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในฐานะมกุฎราชกุมาร ชาวไทยไม่ได้เรียกข้าพเจ้าด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เรียกข้าพเจ้าว่า "เจ้าชายจิกมี" เสมือนเป็นคนในครอบครัว ความเมตตานั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะขอตอบแทนมิตรภาพนี้แก่ประเทศไทยอย่างสุดความสามารถ
ประเทศไทยคือชาติที่คงความเป็นเอกราชมาได้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบกับความเข้มแข็งของพสกนิกร ข้าพเจ้าเชื่อมั่นใน "สติปัญญา" ของคนไทยที่รู้จักความยืดหยุ่นและรู้วิธีการรักษาสมดุล สิ่งนี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่มั่นคง
ข้าพเจ้าและพระราชินีจะเก็บรักษาเกียรติยศจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ในใจตลอดไป ขอให้มิตรภาพระหว่างไทยและภูฏานยั่งยืนสถาพรสืบไป”
ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับราชอาณาจักรภูฏานได้รับการสั่งสมและเสริมสร้างผ่านความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมตลอดหลายทศวรรษ โดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ มีความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตภูฏานในประเทศไทย และหน่วยงานในภูฏาน ทั้งในด้านวิชาการ ด้านวัฒนธรรม และด้านความสัมพันธ์เชิงการทูต มีการจัดปาฐกถาและการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ต่อมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการจัดตั้ง “ศูนย์ปัญญาไทย - ภูฏานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” (Thai-Bhutan Academy for Sustainable Futures) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ วิจัย และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านภูฏานศึกษา พร้อมทั้งยกระดับบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะผู้นำทางวิชาการระดับนานาชาติด้านเอเชียศึกษาและความร่วมมือ เชิงนโยบายระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2568 มีนิสิตชาวภูฏานศึกษาอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำนวน 6 คน เป็นนิสิตระดับปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัย 1 คน และนิสิตปริญญาโท 5 คน จากบัณฑิตวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
.jpg)
ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาฯ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์, นฤมล ล้อมทอง, ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และ ผาณิต พูนศิริวงศ์
.jpg)
สารัชถ์-นลินี รัตนาวะดี, สนั่น อังอุบลกุล และ ชาติศิริ โสภณพนิช
.jpg)
นารี ตัณฑเสถียร อดีตอัยการสูงสุด, ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ และอโนชา ชีวิตโสภณ อดีตประธานศาลฎีกา
.jpg)
พล.ต.ท.รักษ์จิต หม้อมงคล กรรมการสภาจุฬาฯ พร้อมด้วย 2 ผู้บริหารไทยเบฟ พลภัทร สุวรรณศร และ สุเทพ เจียมประเสริฐ
.jpg)
มุกดา จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล และ สุพัตรา จิราธิวัฒน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี