คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาศึกษาและติดตามการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้าน “กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของชนชั้นรากหญ้า ซึ่งกำกับดูแลโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและ ชุมชนเมืองแห่งชาติ ภาพรวมของโครงการทั้งหมดที่ผ่านมา พบว่ามีทั้งชุมชนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว โดยเฉพาะกองทุนชุมชนเมืองที่ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร มีการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ บริหารจัดการไม่ดีพอจึงไม่เกิดความยั่งยืน แต่พบว่ากองทุนที่ประสบผลสำเร็จ และน่าจะเป็นแบบอย่าง สร้างความยั่งยืน ซึ่งคณะกรรมาธิการได้หยิบยกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ขึ้นมาพิจารณาศึกษาโดยเชิญผู้แทนกองทุนหมู่บ้านรวมพลังรักสามัคคี เข้าร่วมประชุม
กองทุนหมู่บ้านรวมพลังรักสามัคคี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๔ สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ ๒๙/๑๓ หมู่ที่ ๔ คลอง ๔ ถนนไสวประชาราษฎร์ ตำบลลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีพื้นที่ดังกล่าวอยู่เขตชุมชนกึ่งเมือง
หากดูจากจำนวนสมาชิกกองทุนฯ เทียบกับจำนวนประชากรในหมู่บ้าน พบว่า ยังมีสัดส่วนที่ห่างกันมาก ซึ่งเป็นความท้าทายของคณะกรรมการบริหารที่จะให้ความรู้ ความเข้าใจ และเชิญชวนให้ประชาชนในหมู่บ้านเข้ามาเป็นสมาชิกให้มากขึ้น
หากย้อนหลังไปในอดีตเมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว พื้นที่ทั้งหมดเป็นพื้นที่การเกษตร โดยมีอาชีพทำนา ทำสวนผลไม้เป็นหลัก ต่อมาภายหลังเมื่อการเจริญเติบโตของเมืองหลวงขยายมากขึ้น พื้นที่การเกษตรจึงเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรม ปัจจุบัน พื้นที่หมู่ที่ ๔ ตำบลลาดสวาย ยังมีพื้นที่การเกษตรอยู่ประมาณร้อยละ ๐.๕ ซึ่งหากดูจากพื้นที่ปัจจุบันซึ่งกลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัย โดยเป็นหมู่บ้านจัดสรรทั้งนั้น
ดังนั้น ในระยะ ๑๕ ปีที่ผ่านมา ชุมชนแห่งนี้จึงกลายสภาพเป็นชุมชนใหม่โดยมีผู้อพยพมาจากทั่วภูมิภาคของประเทศ ไม่ว่าเหนือ ใต้ตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากรดั้งเดิม จะเป็นผู้อยู่อาศัยตามแนวคลอง ๔ เป็นหลัก จากปัจจัยนี้เอง จึงทำให้วัฒนธรรมของชุมชนเกิดการผสมผสานกันระหว่างชุมชนเดิม เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ และวัฒนธรรมชุมชนเมือง
การดำเนินการของกองทุนรวมพลังรักสามัคคี ยึดหลักปรัชญา“มีวินัยในการออม ใช้เงินอย่างมีระบบ ย่อมนำมาซึ่งการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน” วิสัยทัศน์ของกองทุนมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกด้วยการส่งเสริมนิสัยการออม ใช้เงินอย่างมีสติและเหตุผลเพียงพอ และฝึกให้เป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญา ต่อตนเองและผู้อื่น ปัจจุบันกองทุนมีสมาชิกทั้งสิ้น ๒๖๒ คน มีเงินออมของสมาชิกทั้งสิ้น ๘,๙๕๒,๙๑๑ บาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) เฉลี่ยสมาชิกมีเงินออมประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคน สมาชิกส่งเงินออมสัจจะเป็นรายเดือน คิดเป็นร้อยละ ๙๘ และสมาชิกที่กู้เงินไม่หนี้เสียเมื่อครบสัญญา จุดเริ่มต้นก่อตั้งกองทุนได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกกองทุนด้วยการกำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุนว่า “กรรมการจะไม่สามารถกู้เงินกองทุนฯ และไม่สามารถค้ำประกันให้กับสมาชิก” เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกว่า กรรมการไม่ได้เข้ามาหาผลประโยชน์ และกรรมการจะดำรงความเป็นกลางให้กับสมาชิก จึงทำให้สมาชิกเกิดความเชื่อมั่นและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และหลังจากผ่านช่วงก่อตั้งมาแล้วพบว่าการเร่งหาสมาชิก โดยที่ไม่มีการกลั่นกรองที่ดีพอ ตลอดจนหลักประกันของสมาชิกที่น้อยเกินไป เป็นการสร้างความเสี่ยงให้กับกองทุน ซึ่งจะเป็นภาระหนักให้กับกรรมการทั้งการ พิจารณาให้กู้ การติดตามให้สมาชิกชำระคืน จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เช่น แก้ไขข้อบังคับเรื่องการส่งเงินสัจจะขั้นต่ำ โดยข้อบังคับนี้จะมีผลต่อสมาชิกใหม่ที่เข้ามาหลังวันที่ข้อบังคับมีผล รวมถึงเชิญชวนให้สมาชิกเพิ่มเงินสัจจะของตนเองตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับ โดยเงินสัจจะของสมาชิกจะถูกนำไปคำนวณเงินปันผลกำไรประจำปี สมาชิกที่ออมมากขึ้นก็จะได้เงินปันผลมากขึ้นกัน และสมาชิกต้องเพิ่มการส่งเงินสัจจะให้ไม่น้อยกว่าขั้นต่ำที่ระบุในข้อบังคับ ซึ่งเรื่องนี้เป็นการทำให้สมาชิกเก่าสามารถเพิ่มหลักประกันให้กับตนเองได้
และเพื่อให้สมาชิกเห็นประโยชน์จากการออมเงิน กองทุนได้กำหนดให้สมาชิกสามารถใช้เงินออมของตนมาใช้เป็นหลักประกันการกู้เงินได้ตามสัดส่วน นอกเหนือจากการใช้คนค้ำประกัน จำนวน ๒ คน ซึ่งหากสมาชิกมีเงินออมจำนวนหนึ่งจะสามารถปรับลดจำนวนคนค้ำประกันเหลือเพียง ๑ คน หรือหากมีเงินออมจำนวนเพียงพอก็ใช้เป็นหลักประกันแทนคนค้ำได้เลย นอกจากนี้ กองทุนได้มีการพัฒนาความรู้ความสามารถของกรรมการ การส่งเสริมความรู้ให้กับสมาชิก ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ และการสร้างความร่วมมือของเครือข่ายกองทุนทั้งในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด รวมทั้งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีที่สามารถนำมาปรับใช้กับกองทุนหมู่บ้าน อาทิ การใช้แอพพลิเคชั่น LINE ส่งข้อมูลข่าวสารและใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกและกองทุน และอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ และ QR Code ในลักษณะเช่นเดียวกับระบบของธนาคารออมสินที่ให้การสนับสนุนกองทุน
การดำเนินงานของกองทุนยึดหลักการบริหารจัดการ คือ (๑) การส่งเสริมให้สมาชิกออมเงินมากขึ้น (๒) การสนับสนุนให้สมาชิกใช้เงินออมให้เกิดประโยชน์ และ (๓) การควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะต้นทุนจากงานธุรการ ซึ่งใช้หลัก “ใครใช้ คนนั้นจ่าย” อาทิ ผู้กู้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น แบบฟอร์มการกู้และสัญญา ค่าอากรแสตมป์ ค่าใช้จ่ายในการส่งกรรมการไปสำรวจข้อมูลผู้ขอกู้ค่าดำเนินการไปติดต่อธนาคารเพื่อนำเรื่องเบิกเงิน เป็นต้น เพื่อช่วยสร้างความเป็นธรรมให้กับสมาชิกที่ไม่ได้กู้เงิน จากการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า ๑๖ ปี กองทุนมีเงินออมสัจจะจากสมาชิกเป็นเงิน ๘,๙๕๒,๙๑๑ บาท และเงินทุนจากรัฐบาล จำนวน ๔ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ เพื่อสร้างให้สมาชิกมีวินัยการออมและการชำระหนี้เงินกู้ ตามหลักการเคารพตนเองและผู้อื่น กองทุนได้กำหนดให้สมาชิกต้องส่งเงินออมสัจจะในทุกวันที่ ๑-๓ ของเดือน ไม่มีวันหยุดราชการ หากเกินวันที่ ๓ จะไม่รับเงินออมสัจจะ ซึ่งจะส่งผลต่อเงินปันผลของสมาชิกสิ้นปี และกำหนดการส่งเงินผ่อนชำระเงินกู้ต้องชำระ ภายในวันที่ ๑-๓ ของทุกเดือนเช่นกัน กรณีผิดนัดชำระ ๑ ครั้ง จะถูกหักเงินปันผลร้อยละ ๕ กรณีผิดนัดชำระ ๒ ครั้ง จะถูกหักเงินปันผลร้อยละ ๑๐ และกรณีผิดนัดชำระ ๓ ครั้งจะไม่ได้เงินปันผลเลย ซึ่งหากสมาชิกมีปัญหาและเหตุที่ไม่สามารถชำระเงินได้จะต้องเข้ามาพูดคุยปรึกษากับกองทุนก่อนวันที่ครบกำหนดชำระ
นอกจากนี้ กองทุนหมู่บ้านรวมพลังรักสามัคคี ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
๑.ประเด็นเรื่องหลักประกันเงินฝากของสมาชิก กรณีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตหากกองทุนเกิดปัญหาในการดำเนินงานนั้น ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับความเสี่ยงดังกล่าว ยังคงใช้ความเชื่อใจว่าจะสามารถเลือกคนดีเข้ามาบริหารกองทุน ทั้งนี้ การลดความเสี่ยงดังกล่าวต้องมีการประชุมติดตาม ตรวจสอบข้อมูลการดำเนินงานของกองทุนเป็นประจำ สม่ำเสมอ ซึ่งปัจจุบันกองทุนมีการจัดประชุมคณะกรรมการกองทุน เดือนละ ๑ ครั้ง และมีข้อมูลการปิดบัญชี สรุปรายรับ รายจ่าย ข้อมูลเงินออมของสมาชิก ข้อมูลการกู้ยืมเงินของสมาชิก เพื่อรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการทุกเดือน โดยข้อมูลปี พ.ศ. ๒๕๕๙ กองทุนมีรายได้ ๖๑๒,๔๗๘.๖๔ บาท รายจ่าย ๑๓๘,๒๒๖.๓๐ บาท ผลกำไร ๔๒๓,๒๕๒.๓๔ บาท
๒.กองทุนคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ ๖ แบบคงที่ หรือแบบลดต้นลดดอก ร้อยละ ๑๑ โดยเงินออมของสมาชิกจะถูกนำไปคำนวณเป็นเงินปันผลสิ้นปี และขึ้นอยู่กับผลประกอบการของกองทุน รายได้ของกองทุนนอกจากดอกเบี้ยเงินกู้ของสมาชิกแล้ว กองทุนยังได้นำเงินส่วนหนึ่ง ประมาณ ๖ ล้านบาท ไปฝากประจำกับธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำ แต่สำหรับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีอัตราดอกเบี้ยสูง อาทิ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาลนั้น กองทุนยังไม่สามารถลงทุนด้วยข้อจำกัดของการดำเนินงานในรูปแบบกองทุน
๓.ปัจจัยที่ทำให้กองทุนไม่มีหนี้สูญ เนื่องจากกองทุนจะมีการติดตามสมาชิกที่กู้เงินอย่างสม่ำเสมอ หากสมาชิกท่านใดที่เริ่มมีประวัติค้างผ่อนชำระก็ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
๔.การจัดสรรเงินรายได้ของกองทุนเพื่อสังคม กองทุนได้แบ่งเงินปันผลออกเป็น ๔ ส่วน คือ (๑) เงินปันผลสำหรับสมาชิก (๒) เงินทุนสำรอง (๓) สวัสดิการสำหรับสมาชิก และ (๔) สวัสดิการสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม ทั้งนี้ กองทุนจะแบ่งสัดส่วนเงินปันผลโดยมุ่งเน้นประโยชน์สำหรับสมาชิก เป็นหลักเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการมีส่วนร่วมและมีสมาชิกมากขึ้น จึงทำให้มีเงินสำหรับสาธารณประโยชน์ไม่มากนักตัวเลขประมาณหลักหมื่นบาท กองทุนจึงได้นำเงินส่วนดังกล่าวเพื่อช่วยสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมที่ชุมชนได้ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การจัดกิจกรรมวันเด็ก และกิจกรรมวันผู้สูงอายุ เป็นต้
๕.สมาชิกของกองทุนมีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ทั้งนี้ กองทุนเปิดรับสมาชิกตั้งแต่แรกเกิด จึงมีผู้ปกครองมาสมัครและส่งเงินออมให้บุตรหลาน กรณีผู้สูงอายุก็จะมีทั้งที่ผู้สูงอายุส่งเงินออเองและบุตรหลานส่งเงินออมให้ ซึ่งมีผู้สูงอายุที่อายุสูงสุด ๘๐ ปี รวมถึงกรณีคนพิการก็จะมีสมาชิกในครอบครัวส่งเงินออมให้และคนพิการนำเบี้ยคนพิการมาใช้เป็นเงินออมด้วยเช่นกัน
ผลกำไรจากการดำเนินการของกองทุนได้นำกลับคืนสู่สมาชิกในรูปของเงินปันผล เงินสมทบกองทุน และเงินสะสมจากผลกำไรของสมาชิก รวมทั้งมีการช่วยเหลือสมาชิกเมื่อเจ็บป่วย และการร่วมมือกับเครือข่ายระดับตำบล รวม ๑๑ หมู่บ้าน มีสมาชิกกว่า ๘๐๐ คน ในการจัดสวัสดิการสงเคราะห์สมาชิกเมื่อเสียชีวิต ศพละ ๓๐ บาท โดยจะได้รับเงินสวัสดิการกรณีสมาชิกเสียชีวิต กว่า ๒๐,๐๐๐ บาท
สำหรับสวัสดิการกองทุนสะสม กรณีสมาชิกลาออก จะได้เงินที่สมาชิกสะสมไว้ร้อยละ ๑๐ จากเงินปันผล และกองทุนจ่ายสมทบให้อีกร้อยละ ๑๐ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้สมาชิกที่จะได้รับเงินที่กองทุนจ่ายสมทบให้เมื่อลาออก จะต้องเป็นสมาชิกครบ ๓ ปีสมาชิกที่ลาออก มีหลายเหตุผล ทั้งการไม่มีวินัยในการผ่อนชำระเงินกู้ หรือความจำเป็นส่วนตัวที่ต้องการใช้เงินออมที่สะสมไว้จึงตัดสินใจลาออกจากกองทุนเพื่อรับเงินสวัสดิการดังกล่าว ซึ่งกองทุนได้กำหนดไว้ว่าสมาชิกที่ลาออก จะสามารถสมัครสมาชิกใหม่เมื่อพ้นระยะเวลา ๖ เดือนสำหรับจำนวนสมาชิกกองทุนที่ยังมีจำนวนน้อย แม้ฐานประชากรของหมู่บ้านจะมีจำนวนกว่า ๑ หมื่นคน ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากคนที่นำเงินมาลงทุนในกองทุนมักจะเป็นคนกลุ่มที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก ซึ่งคนในชุมชนดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นคนที่มีรายได้ดีจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับกองทุน และบางคนมีชื่อในทะเบียนบ้านแต่ไม่ได้อยู่ในชุมชนจริง
๖.สัดส่วนจำนวนสมาชิกที่กู้เงินกับจำนวนสมาชิก ในระยะแรก คือ ๕๐ : ๕๐ แต่ในระยะหลัง สัดส่วนของสมาชิกที่กู้เงินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการนำเงินออมไปใช้ลงทุนมากขึ้น ซึ่งจำนวนเงินที่กองทุนให้สมาชิกเงินกู้ต่อปีประมาณ ๓ ล้านบาท
สรุป ผลงานที่ได้ถูกจารึกไว้ในกองทุนหมู่บ้านรวมพลังรักสามัคคี คือ การบรรจุข้อความไว้ในคุณสมบัติของคณะกรรมการว่า “ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งกรรมการจะไม่ขอกู้เงินจากกองทุน” ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันกับมวลสมาชิกว่า ผู้ที่เข้ามาบริหารจะไม่ใช้อำนาจเพื่อตัวเองการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านรวมพลังรักสามัคคีเริ่มดำเนินการมาจากปี ๒๕๔๔ จนถึงวันนี้ ซึ่งหากมองย้อนหลังกลับไป สามารถแบ่งช่วงเวลาการดำเนินการได้ดังนี้ ๑.ช่วงก่อตั้งและค้นหาตัวเอง ๒.ช่วงปรับสมดุล ๓.ช่วงพัฒนาในยุคที่ และ ๔.ช่วงพัฒนากองทุนยุค ๔.๐
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี