(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ทั้งนี้ มีผู้เสนอให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกับกรณีการดำเนินงานและบริหารจัดการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันได้มีการออกระเบียบเพื่อรองรับการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างชัดเจน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๕๑
“มาตรา ๓๓ วรรคสอง บัญญัติไว้ว่าเพื่อส่งเสริมการมีบทบาทตามความพร้อม และความจำเป็นของประชาชนในท้องถิ่น ให้คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) สนับสนุนและประสานองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ โดยอาจได้รับการอุดหนุนจากกองทุน”
- พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๒
“มาตรา ๑๖ (๑๙) กำหนด ให้เทศบาล เมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจ และหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชน ในท้องถิ่นของตนเอง เรื่อง การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล และมาตรา ๑๗(๑๙) กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีโรงพยาบาลจังหวัด การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ”
ดังนั้น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจึงได้มีมติให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ออกประกาศหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องดำเนินงานและบริหารจัดการเป็นไปตามมาตรฐานการแพทย์ฉุกเฉินและระเบียบของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐาน คุณภาพ อย่างทั่วถึง และเท่าเทียมโดยการป้องกันให้การเจ็บป่วยฉุกเฉินเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน จนพ้นภาวะฉุกเฉิน หรือได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะอย่างทันท่วงที
ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีความเห็นสอดคล้องกันว่าการดำเนินงานด้านเด็กและเยาวชนในพื้นที่จำเป็นที่จะต้องมีการออกระเบียบเพื่อรองรับการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ชัดเจนเช่นเดียวกับประเด็นการแพทย์ฉุกเฉินในข้างต้น ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหา ข้อจำกัด หรือความไม่ชัดเจนของขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงาน โดยอาจจะต้องสร้างความชัดเจนของพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ในมาตรา ๑๖ และ ๑๗ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันกฎหมายจะกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ แต่ในทางปฏิบัติกฎหมายดังกล่าวไม่สามารถรองรับการดำเนินงานด้านเด็กและเยาวชนในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ เนื่องจากเป็นเพียงการกำหนดกรอบในการดำเนินงาน แต่การดำเนินงานด้านเด็กและเยาวชนจะไปปรากฏในอำนาจหน้าที่ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากโดยหลักการแล้วหน่วยงานไหนมีอำนาจหน้าที่ รัฐก็จะจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานนั้นเช่น การดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ซึ่งรัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเพื่อให้สามารถดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเรียกเงินคืนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมเด็กและเยาวชน เช่น กิจกรรมงานวันเด็ก กิจกรรมการกวดวิชา เป็นต้น เนื่องจากเห็นว่า เป็นการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน ส่งผลให้เด็กในพื้นที่ขาดโอกาสในการได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ หรือกรณีการดำเนินงานด้านศิลปวัฒนธรรมที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๖ (๑๑) ซึ่งท้องถิ่นได้มีการดำเนินงานแต่พบปัญหาการตรวจสอบการใช้งบประมาณจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินด้วย เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเป็นภารกิจที่ซับซ้อนกับกระทรวงวัฒนธรรม ส่งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินงานในประเด็นดังกล่าวได้เช่นกัน นอกจากจะเป็นภารกิจที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการ
อย่างไรก็ดี ที่ประชุมจึงมีความเห็นตรงกันว่า หากจะให้มีการกำหนดระเบียบออกมาเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านเด็กและเยาวชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำเป็นต้องมีฐานอำนาจมารองรับการออกระเบียบดังกล่าว เช่น หากมีการถ่ายโอนภารกิจด้านเด็กและเยาวชนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ควรต้องกำหนดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้จ่ายเงินเพื่อรองรับการดำเนินงานดังกล่าวได้ ซึ่งหากมีการถ่ายโอนอำนาจชัดเจน ก็จะมีงบประมาณและบุคลากรสำหรับการดำเนินงานตามมาแต่ปัจจุบันสิ่งที่มักพบคือ มีการถ่ายโอนอำนาจแต่ไม่มีงบประมาณและบุคลากรสนับสนุนดำเนินการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงาน
๓.กฎหมายอื่นๆ ที่ให้อำนาจท้องถิ่นในการดำเนินกิจกรรม เช่น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๓๕) แต่พบว่าอำนาจในการดำเนินกิจกรรมก็ยังคงอยู่ที่องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล หรือหน่วยงานที่มีหลัก ส่งผลให้การขับเคลื่อนงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดความซ้ำซ้อนกันหน่วยงานหลัก
๔.พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไว้ดังนี้
- มาตรา ๘ “ให้สำนักงานหรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร่วมมือ ส่งเสริม และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่นให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ
ในการจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนตามวรรคหนึ่งให้คำนึงถึงหลักการและแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนและประชาสังคมในท้องถิ่นด้วย”
ทั้งนี้ ได้มีหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ ตผ ๐๐๐๑/๐๗๒๗ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้อ้างถึงความในมาตรา ๘ ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ เนื่องจากเห็นว่ายังไม่มีการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงเสนอให้มีการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ข้อเสนอร่วมกัน ดังนี้
๑.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรต้องมีการจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่นให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชนควรเป็นหน่วยงานหลักในเชิงวิชาการ และรับนโยบายของรัฐบาลมาแปลงสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมและถ่ายโอนลงไปสู่ท้องถิ่นที่มีความพร้อมเพื่อดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเมื่อมีแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่นแล้ว งบประมาณการดำเนินงานจะเป็นไปในลักษณะงบอุดหนุนก็สามารถทำได้ด้วย
๒.เสนอให้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) พิจารณารับรองว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ตามที่ปรากฏในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ หมายรวมถึง องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสามารถใช้ในการดำเนินงานด้านเด็กและเยาวชนในจังหวัดได้ตามข้อสังเกตของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
๓.เนื่องจากมาตรา ๘ ได้ให้อำนาจสำนักงานหรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร่วมมือ ส่งเสริม และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่น ส่วนกระบวนการในการประสานแผนของท้องถิ่นนั้น เห็นว่าปัจจุบันได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประสานแผนท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นประธาน เป็นกลไกที่ทำหน้าที่ในการประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นในระดับพื้นที่อยู่แล้วตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๒ ดังนั้น เห็นควรใช้กลไกดังกล่าวในการสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนงานให้เกิดประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายจัดตั้งกำหนด
๔.เห็นควรสนับสนุนให้มีการดำเนินการนำร่องในบางพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังตั้งข้อสังเกตความในมาตรา 22 ซึ่งกำหนดให้ “องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล โดยคำแนะนำของหัวหน้าบ้านพักและครอบครัวในแต่ละจังหวัด จัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนตำบลและสภาเด็กและเยาวชนเทศบาล แล้วแต่กรณี ซึ่งสมาชิกประกอบด้วยเด็กและเยาวชนที่อยู่ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาล”
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในมาตราดังกล่าวมิได้กำหนดขอบเขตหรืออำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ไว้แต่อย่างใดมีเพียงการแต่งตั้งที่ปรึกษาคณะบริหารสภาเยาวชนซึ่งให้แต่งตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดอำนาจตามมาตรา 26 เท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นควรให้มีการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีความชัดเจนและเหมาะสมต่อไป
อย่างไรก็ดี กรมกิจการเด็กและเยาวชนได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้สอดรับกับมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนี้
(๑) แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. ๒๕๖๐- ๒๕๖๔ ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรี
(๒) ยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แล้ว
(๓) ยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔
โดยในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ กรมกิจการเด็กและเยาวชนได้จัดสรรงบประมาณในการขับเคลื่อนแผนดังกล่าวสู่กลไกระดับพื้นที่/ท้องถิ่นโดยสร้างความรู้และความตระหนักทุกภาคส่วนให้ร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนงานด้านเด็กและเยาวชน โดยจะมีการจัดสรรงบประมาณให้แก่พื้นที่ในการจัดทำแผนพัฒนาและคุ้มครองเด็กและเยาวชนระดับจังหวัดและท้องถิ่น โดยร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบกับการจัดทำคู่มือเพื่อขับเคลื่อนแผนร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี