สมมุติเราทำงานได้เงินเดือน 30,000 บาท ใช้เดือนละ 15,000 ออมได้ 15,000 บาท ควรเก็บไว้เป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินประมาณ 6-12 เดือน ของรายจ่ายแต่ละเดือน ก็คือ 90,000–180,000 บาท แล้วจึงเอาเงินที่เก็บได้นอกจากนี้ไปลงทุนแต่ละเดือน
การลงทุนมีตั้งแต่ความเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนก็น้อยด้วย ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็จะสูงเช่นกัน (ถ้ายังไม่มีความรู้ อีกหน่อยศึกษาการลงทุนมากๆอาจกลายเป็น “ความเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนสูง” หรือ “low risk high return” หรือ “high understanding high return” ก็ได้ การฝากเงินบัญชีออมทรัพย์ธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยที่สุด(อาจเพียง 0.5-1% ต่อปี) แต่ความเสี่ยงน้อยมาก ข้อดี คือ เบิกได้ทุกวัน ธนาคารคิดดอกเบี้ยให้ทุกวัน เช่น ฝาก 10,000 บาท ไว้ 10 วัน จะคิดดอกเบี้ยยอดเงินนี้ 10 วัน ถ้าถอน 2,000 บาท เหลือฝากต่อ 30 วัน จะคิดดอกเบี้ยจากยอด 8,000 บาทช่วง 30 วัน ข้อดีอีกอย่างคือ ดอกเบี้ยบัญชีออมทรัพย์ถ้าน้อยกว่า 20,000 บาท/ปี ไม่เสียภาษี แต่ถ้ามากกว่า 20,000 บาท ต้องเสียภาษี แต่ดอกเบี้ยออมทรัพย์ได้ยังไม่เท่าเงินเฟ้อเลย
เงินที่เราเก็บไว้เป็นเงินสำรองสำหรับกรณีฉุกเฉิน ไม่ควรฝากในบัญชีออมทรัพย์ แต่ควรฝากไว้ในกองทุนรวมที่มั่นคง (ที่ส่วนใหญ่เอาไปลงทุนตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล) ที่เบิกได้ทุกวัน มีดอกเบี้ยมากกว่าบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีฝากประจำ แต่การเบิกใช้เวลาหนึ่งวันคือ เบิกวันนี้จะได้พรุ่งนี้ ที่แนะให้ฝากแบบนี้เพราะเราคงไม่ใช้ยอดนี้ ยกเว้นยามฉุกเฉินเท่านั้น จึงควรฝากแบบนี้จะได้ดอกเบี้ยมากกว่า
การฝากธนาคารประเภทประจำได้ดอกเบี้ยมากกว่าฝากแบบออมทรัพย์ แต่เสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้ด้วย ข้อเสียอีกอันคือ เราจะได้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลาที่ตกลงกับธนาคาร เช่นถ้าฝากเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ 3, 6 หรือ 12 เดือน ถ้าถอนก่อนกำหนดก็จะไม่ได้ดอกเบี้ย
การลงทุนขั้นต่อไปคือ ซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ ซึ่งได้ดอกเบี้ยมากขึ้น อาจเป็น 2-4% ตามแต่สภาพเศรษฐกิจช่วงนั้น ถ้าเป็นพันธบัตรคือ ฝากกับรัฐบาลก็มีความเสี่ยงน้อย
แต่ถ้าเป็นหุ้นกู้ก็มีความเสี่ยงมากหน่อยเพราะเป็นของเอกชน ซึ่งต้องเลือกบริษัทที่ดี มีฐานะมั่นคง ฯลฯ
พอเราออมเงินได้ยอดเงินสำรองสำหรับกรณีฉุกเฉินแล้ว เราควรซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อเก็บเป็นเงินสำหรับตอนเกษียณ การซื้อ LTF, RMF เป็นนโยบายรัฐบาลที่จะกระตุ้นให้ประชาชนรู้จักออม เพื่อหวังผลตอนเกษียณ เราสามารถนำยอดเงินที่ซื้อ 2 สิ่งนี้ไปหักยอดเงินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ต้องไม่เกิน 15% ของรายได้สุทธิ หรือไม่เกิน 500,000 บาทต่อ LTF ต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท/ปีของ RMF คนที่อายุน้อย เช่น 28 ปี ควรเลือกซื้อ LTF ที่ลงทุนไปที่หุ้นมากกว่าตราสารหนี้(พันธบัตร) เพราะหุ้นถึงแม้มีความเสี่ยง แต่ถ้ารอ 30 ปี จะมีความเสี่ยงน้อย และผลตอบแทนดีกว่า
วิธีซื้อ LTF, RMF ไม่ควรซื้อครั้งเดียวต่อยอดที่จะซื้อได้ทั้งปี เช่น มีสิทธิ์ (จากการหักภาษี) ซื้อได้ 120,000 บาท/ปี ควรสั่งซื้อ 10,000 บาททุกเดือน หรือที่เรียกว่า Dollar Cost Average (DCA) ดีกว่าซื้อ 120,000 บาททีเดียว เพราะซื้อทุกเดือน จะเฉลี่ยราคาของหน่วยกองทุน เพราะถ้าซื้อทีเดียวหมด อาจซื้อได้แพงหรือซื้อได้ถูก แต่ต้องนึกว่าเราอาจโชคไม่ดีไว้ก่อนคืออาจซื้อแพง ฉะนั้นต้องมีภูมิคุ้มกัน (อีกแล้ว! เห็นไหมว่าที่พ่อหลวงสอนนั้น เอาไปใช้ได้ทุกอย่างของชีวิต) โดยเฉลี่ยซื้อเป็นรายเดือน โดยสั่งธนาคารให้หักทุกเดือนจากบัญชีของเรา (ดูรายละเอียดหาความรู้ของ LTF, RMF ก่อนซื้อ)
ถ้าลูกศิษย์ผมเก็บเงินฉุกเฉินไว้ครบตามต้องการแล้ว ขั้นต่อไปคือ ซื้อ LTF, RMF ต่อเดือน แล้วถ้ายังมีเงินเหลือเดือนละ 10,000 บาท ผมจะแนะให้ซื้อกองทุนรวมตราสารหุ้น (ไม่ใช่กองทุนรวมตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า แต่เสี่ยงน้อยกว่า) เพราะลงทุน 30 ปี สำหรับลูกศิษย์แทบไม่มีความเสี่ยงเลย ทำไมถึงซื้อกองทุนรวมแทนที่จะซื้อหุ้น เพราะ 1.เรายังมีเงินน้อย กองทุนรวม(mutual fund) ซื้อได้ตั้งแต่ 1,000 บาท/เดือนขึ้นไป 2.เราไม่มีความรู้ที่จะซื้อหุ้นเอง แต่กองทุนรวมมีผู้จัดการที่มีความรู้ ความสามารถที่จะบริหารกองทุนให้เรา แต่ละกองทุนมีนโยบายเอาไปลงทุนที่ไหนบ้าง ถ้ามีระยะเวลาลงทุนนานๆเช่น 30 ปี ผมแนะให้ซื้อกองทุนรวมผสมที่เน้นหนักทางหุ้นพื้นฐานดี เช่น 70-80% ซื้อหุ้น อีก 20-30% ซื้อตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ถ้าเราสูงอายุแล้วก็ซื้อกองทุนรวมที่ลดสัดส่วนซื้อหุ้น เพิ่มสัดส่วนซื้อตราสารหนี้ ฯลฯ อย่างอายุเท่าผม จะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ ควรเอาแบบชัวร์คือ ซื้อตราสารหนี้ ได้ปันผลน้อยแต่แน่นอน เพราะไม่มีเวลามากที่จะเสี่ยงลงทุนกองทุนตราสารหุ้น 3.เราซื้อกองทุนรวมเพราะไม่มีเวลาศึกษา ติดตามหุ้นและยังมีรายได้น้อย
ถ้าจะซื้อหุ้นเองต้องศึกษาเรื่องการลงทุนให้ดีก่อน ไม่ใช่ซื้อเพราะคนโน้นคนนี้ซื้อ หรือแนะนำ ผมเพียงกระตุ้นให้ทุกๆ ท่าน โดยเฉพาะที่มีเงินเดือน สนใจเรื่องการลงทุน ทุกท่านควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน และควรถือเป็นงานอดิเรกเพราะมันจะเป็นหนทางที่จะทำให้มนุษย์เงินเดือนมีเงินหลายสิบล้านตอนเกษียณ ถ้าเริ่มออม ลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงานคือ เมื่อมีอายุประมาณ 25 ปี
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี