หัวข้อที่กล่าวถึงในวันนี้คือกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ใครๆ ก็รู้จักชื่อว่า Office syndrome คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม นั่งทำงานตลอดเวลา ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ
ซึ่งอาการต่างๆ มีได้ทุกระบบของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สายตานานๆ ทำให้เกิดตาอ่อนล้าหรือแม้กระทั่งต้อหิน อาการปวดหัวจากความเครียด การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในรายที่นั่งทำงานนาน หรือภาวะอ้วนลงพุง โดยหัวข้อนี้จะกล่าวเฉพาะในหัวข้อเรื่องอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก(Work-Related Musculoskeletal Disorder หรือ WMSDs) รวมไปถึงเส้นเอ็น ข้อต่อ การกดทับเส้นประสาทและหมอนรองกระดูกที่มาจากการทำงาน โดยอาการที่พบเริ่มได้ตั้งแต่อาการเมื่อยล้า เมื่อเป็นมากขึ้นก็ปวด จนบางครั้งมีอาการปวดร้าวและชา ในรายที่เป็นเรื้อรังอาการปวดจะรบกวนการนอนและกิจวัตรประจำวัน จนทำให้ไม่สามารถทำงานหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันพบได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการทำงานในสำนักงาน การใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สำนักงาน แม้กระทั่งการใช้โทรศัพท์มือถือในการทำงาน มีรายงานว่า 1/3 ของคนไทยใช้โทรศัพท์มือถือในการทำงานมากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์
อาการปวดกล้ามเนื้อมัดที่พบบ่อยที่สุดคือ การปวดบ่า หรือพวกกลุ่มปวดคอบ่าไหล่(shoulder neck muscle pain) รองลงมาคือการปวดหลัง (low back pain) โดยอาการปวดต่างต่างๆ ต้องสัมพันธ์กับการทำงาน ท่าทางการใช้งาน อิริยาบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง ยืน เดินนอกจากการปวดเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อแล้วยังมีที่พบได้บ่อยๆ คือ มือชาจากการกดรัดเส้นประสาทมือ(Carpal tunnel syndrome) ปลายนิ้วก้อยชาและมีอาการแปล็บๆ เหมือนไฟช็อตบริเวณข้อศอก (Cubital tunnel syndrome) อาการเจ็บข้อมือด้านในเวลาขยับนิ้วโป้งและข้อมือจากการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็น(De Quervian’s tenosynovitis) นิ้วล็อก( trigger finger) เอ็นอักเสบ(tendinitis) ปวดตามข้อต่อ เช่น ปวดไหล่จนถึงไหล่ติดปวดเข่า ปวดคอร่วมกับปวดร้าวชาลงแขน (C radiculopathy orC spondylosis) อาการปวดหลัง( low back pain) ซึ่งมีสาเหตุได้ตั้งแต่กล้ามเนื้อตึงหรืออักเสบ จนไปถึงหมองรองกระดูกเคลื่อนกดรัดเส้นประสาท (Herniated Nucleus Pulposus)
เมื่อมีอาการดังกล่าวจึงไปพบแพทย์รักษา กินยา ทำกายภาพบำบัด ปักเข็มลดปวด ฯลฯ ซึ่งการรักษาเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ การรักษาและป้องกันที่ดีที่สุด คือการแก้ที่ต้นเหตุซึ่งมาจากการทำงาน โดยแบ่งเป็นจากตัวเราเอง คือ การปรับท่าทางที่ถูกต้องในขณะทำงาน โดยปรับง่ายๆ เริ่มจากการเลือกเก้าอี้ที่เหมาะสมนั่งพิงหลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย ไม่ยกไหล่ ท่อนแขนบนแนบลำตัว ข้อศอกงอ 90 องศา ข้อมือกระดกขึ้นเล็กน้อย หาที่รองข้อมือเพื่อลดการปวด เท้าวางแนบกับพื้นหรือหาที่วางเท้าให้เหมาะสม ข้อเข่างอประมาณ 90 องศาเช่นกัน หลังจากนั้นเลื่อนเก้าอี้เข้ามาให้ใกล้กับคอมพิวเตอร์ให้ระดับสายตาสูงเท่าขอบบนจอคอมพิวเตอร์ ห่างจากลำตัวประมาณ 2 ฟุต ปรับแสงให้เหมาะสม ลำคอตรง ไม่ยื่นไปข้างหน้าจนเกินไปควรเลือกเก้าอี้ที่ปรับขึ้นลงได้ การวางแป้นพิมพ์และเม้าส์ที่ดีมีผลอย่างมากต่อกล้ามเนื้อ คอบ่าไหล่ ควรวางระดับเดียวกับข้อมือโดยข้อศอกงอ90 องศาตามข้างบน ต้นเหตุที่สองคือ สิ่งแวดล้อม การจัด สถานที่ทำงานที่ดี มีอาการถ่ายเทที่สะดวกเย็นสบาย บรรยากาศดี แสงสว่างที่เพียงพอ ไม่มีฝุ่นสามารถลดอาการ เจ็บป่วยจากที่ทำงานได้ หรือที่เรียกว่าโรคตึกป่วยSick building syndrome และช่วยลดภาวะความเครียดที่มาจากการทำงานได้ Job stress ซึ่งไว้มีโอกาสเขียนเพิ่มเติมในคราวหน้า นอกจากการแก้ปัจจัยทั้งสองข้างต้น การป้องกันที่ดีอีกอย่างคือ การยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อเป็นประจำทุกชั่วโมงเพียงแค่ 1-5 ครั้ง/ท่า ก็ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ดีการยืดคลายกล้ามเนื้อมีท่ามากมาย วันนี้ขอแนะนำท่าง่ายๆ คือ ยกมือสองข้างประสานกันง่ายมือเหนือหัวยืดแขนให้สุดค้างไว้นับ 1-5 จากนั้นเอียงทางซ้ายทีช้าๆ นับ 1-5 และเอียงทางขวานับ 1-5 แล้วปล่อยมือวางลง แล้วบิดตัวเหมือนท่าบิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีเพียงเท่านี้ท่านก็จะหายจากอาการปวดเมื่อย แนะนำให้ลุกขึ้นยืนทุก1 ชั่วโมง ดื่มน้ำมากๆ พักสายตาโดยมองไปนอกจอคอมพิวเตอร์หรือบริเวณต้นไม้สีเขียว อาจจะหากระถางต้นไม้เล็กวางไว้ข้างๆ หรือหลับตาสัก 10 วินาที เพียงเท่านี้ก็สามารถบอกลาอาการจาก Office syndrome ได้แล้ว
แพทย์หญิงแหวนทับทิม ธนโกเศศ
ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี