มีนักสิทธิมนุษยชนหลายสำนักกล่าวว่า “มนุษย์มีสิทธิ์เลือกคู่ครองตามความพึงพอใจของตน ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะมีเพศสภาพเช่นใด”
จากประเด็นดังกล่าวทำให้ผู้แทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้นำเสนอข้อมูล เกี่ยวกับที่มาของร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิตพ.ศ. .... ซึ่งเสนอโดยกระทรวงยุติธรรมว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ถูกร่างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๖ โดยมีหลักการสำคัญคือ ต้องการให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตร่วมกันดั่งคู่สมรสทั่วไป โดยเห็นควรบัญญัติกฎหมายเพื่อรองรับการเป็นคู่ชีวิตหรือจดทะเบียนได้เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิงทั่วไป และคุ้มครองสิทธิและหน้าที่อันพึงมีพึงได้ตามกฎหมาย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ว่าด้วยครอบครัว) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการอยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา สิทธิต่างๆ หลังอยู่ร่วมกัน เช่น ทรัพย์สิน ประกันชีวิตมรดก ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งนับเป็นสิทธิพึงมีพึงได้ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ กำหนดไว้
ทั้งนี้ ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อ ร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. .... ซึ่งผลจากการรับฟังความคิดเห็น พบว่ามีจำนวนประชาชนเห็นด้วย คิดเป็นร้อยละ ๗๘ ไม่เห็นด้วยคิดเป็นร้อยละ ๑๐ และไม่แสดงความคิดเห็นคิดเป็นกว่าร้อยละ ๑๐ แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จึงทำให้กระบวนการดังกล่าวได้หยุดชะงักไป จนปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ถูกนำมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงและทบทวนใหม่อีกครั้งโดยคณะกรรมการซึ่งจัดตั้งขึ้นมาจากบุคคลทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมีความชัดเจน ครอบคลุมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้พิจารณากฎหมายที่มีผลกระทบกับสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส โดยเห็นว่ากฎหมายที่มีเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาคสังคม ฉบับหนึ่งก็คือร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. ....จึงได้มีการปรึกษาหารือก่อนที่หน่วยงานจะได้นำเสนอต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
หลักการและเหตุผลที่สำคัญของร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. ....
ปัจจุบันมีบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศหรือเป็นบุคคลที่มีวิถีทางเพศหรือแสดงออกของเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดอยู่เป็นจำนวนมากที่ใช้ชีวิตร่วมกันดั่งครอบครัวทั่วไปแต่ไม่มีกฎหมายรองรับการเป็นคู่ชีวิตหรือจดทะเบียนได้เช่นเดียวกับคู่สมรสที่ระบบกฎหมายไทยกำหนดว่าต้องเป็นการสมรสระหว่างบุคคลต่างเพศ ดังนั้น จึงทำให้บุคคลเหล่านี้ไม่ได้รับความคุ้มครองสิทธิและหน้าที่อันพึงมีพึงได้ตามกฎหมาย จึงเห็นสมควรให้มีกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิของบุคคลดังกล่าว อีกทั้งให้ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๕ หมวด ได้แก่
หมวด ๑ การจดทะเบียนคู่ชีวิต
หมวด ๒ ความสัมพันธ์ของคู่ชีวิต
หมวด ๓ ทรัพย์สินและมรดกของคู่ชีวิต
หมวด ๔ ความเป็นโมฆะของการจดทะเบียนคู่ชีวิต
หมวด ๕ การสิ้นสุดการเป็นคู่ชีวิต
๒.กฎหมายปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง/และเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ
โดยพิจารณาเทียบเคียงกับกฎหมายต่างประเทศกว่า ๒๐ ประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ซึ่งกำหนดให้มีการจดทะเบียนคู่ชีวิตก่อนในเบื้องต้น และจึงค่อยพัฒนาเป็นกฎหมายแบบเต็มรูปแบบ ส่วนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งกำหนดใน France Civil Code มาตรา ๕๑๕-๑ กำหนดว่า “การจดทะเบียนคู่ชีวิตเป็นการทำสัญญาระหว่างบุคคลสองคนซึ่งบรรลุนิติภาวะเพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน โดยบุคคลสองคนที่จะทำการจดทะเบียนจะเป็นบุคคลเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้” และ มาตรา ๑๔๓ กำหนดว่า “การสมรสเป็นสัญญาระหว่างบุคคลสองคนซึ่งเป็นบุคคลเพศเดียวกันหรือต่างเพศ” แสดงให้เห็นว่าในสาธารณรัฐฝรั่งเศสการจดทะเบียนคู่ชีวิตและการสมรสเปิดช่องให้กับทั้งบุคคลเพศเดียวกันหรือต่างเพศ และเป็นการกำหนดสิทธิในประมวลกฎหมาย France Civil Code ไม่ใช่การออกพระราชบัญญัติเป็นการเฉพาะ ส่วนสาธารณรัฐไต้หวัน ได้มีกรณีฟ้องร้องต่อศาลสูงเนื่องจากเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในประเด็นของความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน อันเป็นที่มาของการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเวลาต่อมารวมทั้งกฎหมายในประเทศ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ ๖ว่าด้วยมรดก พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช ๒๔๗๘ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.๒๕๔๑ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พุทธศักราช ๒๔๘๑ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.๒๕๓๙ พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ.๒๕๒๒ พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.๒๕๕๓ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและคำนึงถึงสิทธิ ความเท่าเทียม และการไม่เลือกปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับจดทะเบียนสมรสตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๔๘ กำหนดว่า “การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้” ทั้งนี้ ได้เคยมีการหารือกันระหว่างกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทยแล้ว โดยกระทรวงมหาดไทย เห็นว่าเพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับทะเบียนสมรส จึงเห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานรับจดทะเบียนคู่ชีวิต โดยให้นำพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพุทธศักราช ๒๔๗๘ มาปรับใช้ และยังได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ถึงผลกระทบในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมิติกฎหมาย มิติทางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงผลกระทบทางด้านศาสนาด้วยแล้ว
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี