(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
แนวทางการให้ความช่วยเหลือประชารัฐสวัสดิการ เป็นการให้วงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานหรือร้านค้าที่กำหนด เมื่อชำระค่าสินค้า และบริการแล้ววงเงินจะลดลงตามยอดที่ใช้จ่ายและถึงรอบวันที่ ๑ ของทุกเดือน (ยกเว้นวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม ทุกวันที่ ๑ ของทุก ๓ เดือน) วงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงิน แต่ละสวัสดิการเสมอ ซึ่งวงเงินคงเหลือของเดือนที่ผ่านมาจะไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป นอกจากนี้ ไม่สามารถถอนวงเงินสวัสดิการจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเงินสดได้ โดยสรุปแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ ดังนี้
การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่นๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยให้วงเงิน ๒๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกินกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และวงเงิน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี (๒) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน ๔๕ บาท ต่อ คน ต่อ ๓ เดือน (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือนและ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต) ซึ่งเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือระยะที่ ๒ แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
โครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นการบูรณาการโครงการจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น โดยมีโครงการเพื่อรองรับจำแนกตามมิติต่างๆ ดังนี้
๑) มิติที่ ๑ การมีงานทำ เช่น การจัดหางานในประเทศและต่างประเทศโดยกระทรวงแรงงาน โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อผู้มีรายได้น้อยโดยกระทรวงพาณิชย์ โครงการตลาดประชารัฐ โดยกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
๒) มิติที่ ๒ การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา เช่น โครงการฝึกอาชีพเร่งด่วนอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน) โดยกระทรวงแรงงาน โครงการเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการ
แห่งรัฐโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โครงการมหาวิทยาลัยประชาชนโดยธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) โครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกรลูกค้าผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น
๓) มิติที่ ๓ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดย ธ.ก.ส. โครงการสินเชื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ โครงการสินเชื่อ Street Food โดย ธนาคารออมสิน เป็นต้น
๔) มิติที่ ๔ การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น โครงการให้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์และกระทรวงการคลัง การออมเพื่อการเกษียณอายุสำหรับแรงงานนอกระบบโดยกองทุนการออมแห่งชาติ
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นสามารถให้การสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้อย่างน้อย ๔,๖๙๕,๔๐๗ คน นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐต่างๆ สามารถเสนอโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เพิ่มเติมได้ และโครงการต่าง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นในการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยความเห็นชอบของ คอต.
๓.ประเด็น “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ Social Safety Net ความเพียงพอในการยังชีพกับมาตรการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ยากไร้” โดยผู้แทนกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
เบี้ยยังชีพคนชราหรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ นับว่าเป็นอีกสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ภาครัฐจัดสรร ไว้ให้กับผู้สูงอายุ คือ บุคคลที่มีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย การดำรงชีวิตในแต่ละเดือน ในแต่ละปีก็จะมีการเปิดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายใหม่ๆ มาลงทะเบียน โดยผู้สูงอายุต้องลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือต้องมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- มีสัญชาติไทย
- มีอายุ ๕๙ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยการลงทะเบียนของปี ๒๕๖๐ ต้องเป็นผู้สูงอายุที่เกิดก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๑ ส่วนผู้สูงอายุที่ทะเบียนราษฎรระบุเฉพาะปีเกิด ให้ถือว่าเกิดวันที่ ๑ มกราคมของปีนั้นๆ
- ต้องไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็น เงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ รวมถึงเงินอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐจัดให้เป็นประจำ
ปัจจุบันการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะเป็นแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ โดยผู้สูงอายุจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสียชีวิต ซึ่งแบ่งได้ตามนี้
- ช่วงอายุ ๖๐-๖๙ ปี ได้รับเงิน ๖๐๐ บาทต่อเดือน
- ช่วงอายุ ๗๐-๗๙ ปี ได้รับเงิน ๗๐๐ บาทต่อเดือน
- ช่วงอายุ ๘๐-๘๙ ปี ได้รับเงิน ๘๐๐ บาทต่อเดือน
- ช่วงอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป ได้รับเงิน ๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนในปี ๒๕๖๐ จะเริ่มได้รับเบี้ยยังชีพงวดแรกตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
สำหรับการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาทางสังคม/เศรษฐกิจ กรมได้ให้ความช่วยเหลือเป็นเงินหรือสิ่งของได้ไม่เกินสองพันบาทต่อครั้งต่อครอบครัว ในกรณีให้ความช่วยเหลือเป็นเงิน หรือสิ่งของเกินสองพันบาทต่อครั้งต่อครอบครัวให้อยู่ในดุลพินิจปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วแต่กรณี โดยขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ ให้นักสังคมสงเคราะห์เสนอความเห็นต่อปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย แล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
๔.ประเด็น “ความมั่นคงของรายได้ของผู้เกษียณที่ต้องรับบำเหน็จผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ และ มาตรา ๓๙ ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓” โดย ผู้แทนจากสำนักงานประกันสังคมสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
มาตรา ๔๐ ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๗ มีจุดมุ่งหมาย คือ การขยายระบบประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ รวมถึงผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร รวมไปถึง พนักงานอิสระต่าง ๆ ได้มีหลักประกันในชีวิต ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นสามารถใช้บัตรทอง ๓๐ บาทรักษาทุกโรคได้ โดยในช่วงแรกนั้นมีการเรียกเก็บเงินสมทบจากผู้ประกันตนเป็นรายปีต่อมาเมื่อดำเนินการมาในระยะหนึ่งจึงพบปัญหาว่า ผู้ประกันตนไม่สามารถนำส่งเงินสมทบได้เนื่องด้วยปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ซึ่งในปี ๒๕๕๔สำนักงานประกันสังคมจึงได้ปรับเปลี่ยนให้สามารถนำส่งเงินสมทบเป็นรายเดือนได้ โดยผู้ประกันตนสามารถเลือกรูปแบบจ่ายเงินสมทบได้ทั้งหมด ๓ รูปแบบ จากเดิมที่เลือกได้เพียง ๒ แบบ ซึ่งทางเลือกในการจ่ายเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ มีดังนี้
ทางเลือกที่ ๑ ผู้ประกันตนจ่ายสมทบ ๗๐ บาท รัฐจ่ายสมทบ ๓๐ บาท รวมเป็นจ่ายสมทบ ๑๐๐ บาท ซึ่งรับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง ๓ กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ และเงินค่าทำศพ
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
๑.เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วยและนอนโรงพยาบาลเพิ่มให้เป็น ๓๐๐ บาท/วัน จากเดิม ๒๐๐ บาท/วัน กำหนดไม่เกิน ๓๐ วันต่อปีรวมถึงได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีถ้าไม่ได้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล(ผู้ป่วยนอก) แต่มีใบรับรองแพทย์สั่งให้หยุดงานตั้งแต่ ๓ วันขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชยวันละ ๒๐๐ บาท ไม่เกิน ๓๐ วันต่อปี และกรณีแพทย์สั่งให้หยุดพักไม่เกิน ๓ วัน จะได้ครั้งละ ๕๐ บาท ไม่เกิน ๓ ครั้งต่อปี
๒.เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ ยังให้สิทธิตามเดิมคือ ได้รับเงินทดแทน ๕๐๐-๑,๐๐๐ บาท/เดือน เป็นเวลานาน ๑๕ ปี โดยมีเงื่อนไข คือ
- จ่ายเงินสมทบครบ ๖ เดือน ภายใน ๑๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๕๐๐ บาท/เดือน
- จ่ายเงินสมทบครบ ๑๒ เดือน ภายใน ๒๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๖๕๐ บาท/เดือน
- จ่ายเงินสมทบครบ ๒๔ เดือน ภายใน ๔๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๘๐๐ บาท/เดือน
- จ่ายเงินสมทบครบ ๓๖ เดือน ภายใน ๖๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๑,๐๐๐ บาท/เดือน
๓. ได้รับเงินค่าทำศพ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท และได้เพิ่มเงินสงเคราะห์ให้อีก ๓,๐๐๐ บาท เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ๖๐ เดือน
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี