(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ทางเลือกที่ ๒ ผู้ประกันตนจ่ายสมทบ ๑๐๐ บาท รัฐจ่ายสมทบ ๕๐ บาท รวมเป็นเงินสมทบ ๑๕๐ บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง ๔ กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ เงินค่าทำศพ และเงินบำเหน็จชราภาพ
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
๑.เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพและเงินค่าทำศพจะได้รับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับทางเลือกที่ ๑
๒.ส่วนเงินบำเหน็จชราภาพยังคงได้รับเหมือนเดิมซึ่งจะได้รับเมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ และลาออกจากการเป็นผู้ประกันตน โดยต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑๘๐ เดือน ซึ่งเงินบำเหน็จ จะคำนวณจากเงินที่รัฐบาลอุดหนุนเดือนละ ๕๐ บาท นำมาคูณด้วยระยะเวลาที่ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบและบวกด้วยเงินผลกำไรที่สำนักงานประกันสังคมนำเงินส่วนนี้ไปลงทุน
ทางเลือกที่ ๓ เป็นตัวเลือกที่เพิ่มเข้ามาใหม่ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แรงงานนอกระบบ ใกล้เคียงกับแรงงานในระบบมากขึ้น โดยให้ผู้ประกันตนจ่าย ๓๐๐ บาท รัฐจ่ายสมทบ ๑๕๐ บาท รวมเป็นเงินสมทบ ๔๕๐ บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง ๕ กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ เงินค่าทำศพ เงินบำเหน็จชราภาพ และเงินสงเคราะห์บุตร
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
๑.เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย กรณีหากเจ็บป่วยและนอนโรงพยาบาลให้อยู่ที่ ๓๐๐ บาท/วัน กำหนดไม่เกิน ๙๐ วันต่อปี ส่วนกรณีถ้าไม่นอนโรงพยาบาลแต่แพทย์สั่งให้หยุดงานตั้งแต่ ๓ วันขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชยวันละ ๒๐๐ บาท ไม่เกิน ๙๐ วันต่อปี และกรณีที่แพทย์สั่งให้หยุดพักไม่เกิน ๓ วันจะได้ครั้งละ ๕๐ บาท ไม่เกิน ๓ ครั้งต่อปี
๒.เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ ได้รับเงินทดแทน ๕๐๐-๑,๐๐๐ บาท/เดือน ตลอดชีวิต โดยมีเงื่อนไข คือ
- จ่ายเงินสมทบครบ ๖ เดือน ภายใน ๑๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๕๐๐ บาท/เดือน
- จ่ายเงินสมทบครบ ๑๒ เดือน ภายใน ๒๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๖๕๐ บาท/เดือน
- จ่ายเงินสมทบครบ ๒๔ เดือน ภายใน ๔๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๘๐๐ บาท/เดือน
- จ่ายเงินสมทบครบ ๓๖ เดือน ภายใน ๖๐ เดือน ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทน ๑,๐๐๐ บาท/เดือน
๓.ได้รับเงินค่าทำศพ จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท โดยต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ๑ เดือน ภายในระยะเวลา ๖ เดือน
ก่อนเดือนถึงแก่ความตาย
๔.ได้รับเงินสงเคราะห์บุตร ๒๐๐ บาท/เดือน ต่อบุตร ๑ คน ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุไม่เกิน ๖ ปีบริบูรณ์ สามารถใช้สิทธิ์ได้คราวละไม่เกิน ๒ คน โดยต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑๒ เดือน ภายในระยะเวลา ๓๖ เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน
๕.ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งจะได้รับเมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์และลาออกจากการเป็นผู้ประกันตนและได้รับเงินบำเหน็จที่สะสมไว้เดือนละ ๑๕๐ บาท พร้อมดอกผล โดยสามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท/เดือน อีกทั้ง เมื่อจ่ายครบ ๑๘๐ เดือน รับเงินก้อนอีก๑๐,๐๐๐ บาท
จากนั้นในปี พ.ศ.๒๕๕๘ มีการยกเลิกประกันสังคม มาตรา ๔๐ ทางเลือก ๓ กรณีบำนาญชราภาพ ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมยังคงให้สิทธิความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา ๔๐ ทางเลือกที่ ๑ และทางเลือกที่ ๒ ต่อไปซึ่งมีสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และเงินบำเหน็จชราภาพและปรับปรุงทางเลือกที่ ๓ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ โดยให้ผู้ประกันตนจ่าย ๓๐๐ บาทต่อเดือนรับสิทธิประโยชน์ ๕ กรณี ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร รัฐบาลเพิ่มสิทธิประโยชน์มากขึ้น ให้ได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้หากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หากนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลรับวันละ ๓๐๐ บาท ในกรณีไม่นอนพักในโรงพยาบาลแต่มีใบรับรองแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวตั้งแต่ ๓ วันขึ้นไป ได้รับวันละ ๒๐๐ บาท โดยระยะเวลาในการนอนพักรักษาตัวกับไม่นอนพักรักษาตัวรวมกันแล้วไม่เกิน ๙๐ วันต่อปี
นอกจากนี้ ยังขยายเวลารับเงินทดแทนกรณีทุพพลภาพเป็นตลอดชีวิต เพิ่มเงินค่าทำศพ เป็น ๔๐,๐๐๐ บาท เพิ่มเงินบำเหน็จชราภาพเป็นเดือนละ ๑๕๐ บาท หากส่งเงินครบ๑๘๐ เดือน ให้เงินเพิ่มอีก ๑๐,๐๐๐ บาท และเพิ่มสงเคราะห์บุตรคนละ ๒๐๐ บาท คราวละไม่เกิน ๒ คน
มาตรา ๓๓ ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.๒๕๓๗ ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี และมีอายุไม่เกิน ๖๐ ปีบริบูรณ์ ซึ่งผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ นี้จะได้รับความคุ้มครอง ๗ กรณี ได้แก่กรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน และเมื่อผู้ประกันตนจ่ายเงินครบ ๑๘๐ เดือน จึงจะได้รับบำนาญตลอดชีวิต ซึ่งเงื่อนไขในการจ่ายบำนาญนั้นคือต้องสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนก่อน
ในส่วนของ มาตรา ๓๓ และ มาตรา ๓๙ สำนักงานประกันสังคมได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำนาญชราภาพ กรณีผู้รับบำนาญชราภาพเสียชีวิต ภายในระยะเวลา ๕ ปีแรก ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับคราวสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตายคูณด้วยจำนวนเดือนที่เหลือหลังจากผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายจนครบ ๖๐ เดือน เว้นแต่จำนวนเดือนที่เหลือน้อยกว่า ๑๐ เดือน ให้จ่ายเงินบำนาญชราภาพเป็นจำนวน ๑๐ เดือน
ข้อสังเกต - ผู้ประกันตนส่วนใหญ่มีความประสงค์ให้ขยายอายุการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน จากเดิมอายุ ๖๐ ปีเป็นอายุ ๖๕ ปี เพื่อส่งเสริมการออมและการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณ
- ภายใต้มาตรา ๓๓ ของพระบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กำหนดหลักเกณฑ์ ในการให้ผู้ประกันตนจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบบำนาญเมื่อนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมครบ ๑๘๐ เดือน เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนร้อยละ ๒๐ ของรายได้เดือนสุดท้าย และหากผู้ประกันตนนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ครบ ๑๘๐ เดือนจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบบำเหน็จนั้น มีข้อกังวลใจว่าหากผู้ประกันตนได้รับบำเหน็จแล้วจะไม่เป็นการส่งเสริมการออม และอาจส่งผลให้ไม่มีหลักประกันกรณีชราภาพ
๕.ประเด็น “ทำอย่างไรให้แรงงานนอกระบบมีการออมที่ทั่วถึงและเพียงพอกับกองทุนการออมแห่งชาติ” โดย ผู้แทนกองทุนการออมแห่งชาติ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
กองทุนการออมแห่งชาติ
ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุมาแล้วเกือบ ๑๐ ปีก่อนหน้านี้ โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้มีการวางแผนการออมมาตั้งแต่ช่วงที่ยังอยู่ในวัยทำงาน ในขณะที่ระบบ บำนาญของประเทศเองยังมีความเหลื่อมล้ำและแยกกันอยู่ กล่าวคือ ภาครัฐ มี กบข. เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมีกองทุนสงเคราะห์ครู หรือประกันสังคมส่งเสริมการเก็บเงินสมทบลูกจ้างนายจ้าง ภาคเอกชน มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคประชาชน ต่างคนต่างออม ใครไม่มีหนี้ก็ออมเอง แต่ส่วนใหญ่ยังขาดการตระหนักรู้ถึง ความจำเป็นของการออมเพื่อการเกษียณของตนเอง ซึ่งระบบบำนาญทั้ง ๓ มิตินั้นก็แยกการควบคุมจัดการไปแต่ละส่วน ขาดการบริหารและมองภาพรวม และต่อมาเมื่อพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติมีผลบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๔ การปฏิบัติตามกฎหมายก็ถูกละเลยและ “ชะลอ”การดำเนินงานไว้ ประชาชนกว่า ๒๕ ล้านคนซึ่งอยู่ในเงื่อนไขของผู้มีสิทธิเป็นสมาชิกกองทุนไม่สามารถใช้สิทธิของตนตามกฎหมาย จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี พ.ศ.๒๕๕๗ ที่รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายจนกองทุนการออมแห่งชาติสามารถเปิดรับสมัครสมาชิกได้ ในวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘
เป็นครั้งแรกที่ระบบบำนาญของประเทศไทยมีกรอบการดำเนินงานครบถ้วนรองรับประชาชนทุกภาคส่วน สามารถลดความเหลื่อมล้ำของสังคมในมิติด้านการออมเพื่อการเกษียณได้ หากมีการออมต่อเนื่องยาวนาน ก็จะสามารถมีความมั่นใจได้ว่าประชาชนของประเทศจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในวัยชรา
กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และเพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำนาญ และให้ประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี