(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
แรงงานนอกระบบตามนิยามของกระทรวงแรงงาน หมายถึง ผู้มีงานทําที่ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายประกันสังคม มาตรา ๓๓(เป็นลูกจ้างที่มีนายจ้าง) เช่น
๑) กลุ่มที่ทํางานรับจ้างและมีเงินเดือนประจําหรือรายได้สม่ำเสมอ ได้แก่ แรงงานที่รับงานไปทําที่บ้าน แรงงานรับจ้างทําของ แรงงานรับจ้างทําการเกษตรตามฤดูกาล แรงงานประมง คนรับใช้ คนทํางานบ้าน และ คนขับรถ(ส่วนตัวตามบ้าน) เป็นต้น
๒) กลุ่มที่ทําอาชีพอิสระทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน ซึ่งมีทั้งระดับบน (รายได้สูง) และระดับล่าง (รายได้ต่ำ) ได้แก่ คนขับรถรับจ้าง ขับรถแท็กซี่ ขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง เกษตรกร ชาวนา ชาวสวน แม่ค้าหาบเร่ แผงลอย โคโยตี้นักแสดง ฟรีแลนซ์ ช่างเสริมสวย ช่างตัดผม รับจ้างทั่วไป เป็นต้น
ทั้งนี้ ความหลากหลายของอาชีพแรงงานนอกระบบจึงทำให้การทำงานในด้านการออม การสร้างหลักประกันทางสังคม การมีงานทำ จึงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ากลุ่มแรงงานในระบบ เนื่องจากหน่วยงานไม่สามารถหาตัวตนของแรงงานนอกระบบได้ จนกระทั่งแรงงานนอกระบบมีความเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงาน
ทั้งนี้ นิยาม “แรงงานนอกระบบ” ของกระทรวงแรงงานและสํานักงานสถิติแห่งชาติมีความแตกต่างกันดังนั้น การมีฐานข้อมูลแรงงานของประเทศอันเดียวกันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานต่าง ๆ
สถานการณ์แรงงานนอกระบบ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จากผลการสํารวจของสํานักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ พบว่า
- จํานวนผู้มีงานทํา ๓๗.๗ ล้านคน (ชาย ๒๐.๖ ล้านคนและหญิง ๑๗.๑ ล้านคน)
- แรงงานในระบบ ๑๖.๙ ล้านคน (ร้อยละ ๔๔.๘ ของผู้มีงานทํา) ส่วนหนึ่งเป็นแรงงานในระบบที่มีนายจ้าง และแรงงานที่ประกอบอาชีพอิสระและมีหลักประกันทางสังคมตามกฎหมายประกันสังคม มาตรา ๔๐
- แรงงานนอกระบบ ๒๐.๘ ล้านคน (ร้อยละ ๕๕.๒ ของผู้มีงานทํา) เป็นแรงงาน ที่ไม่มีหลักประกันทางสังคมตาม กฎหมายประกันสังคม มาตรา ๔๐ แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้และภาคกลาง
- กลุ่มอายุแรงงานนอกระบบ อายุ ๑๕-๒๔ ปีมีจำนวน ๑.๖๖ ล้านคน/ อายุ ๒๕-๕๙ ปี มีจำนวน ๑๕.๕๕ ล้านคน / อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป มีจำนวน ๓.๕๙ ล้านคน)
อนึ่ง การค้นหาแรงงานนอกระบบไม่ควรยึดตัวเลขของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นหลักตลอดกาล เนื่องจากแรงงานนอกระบบมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงสูงมาก ซึ่งกระทรวงแรงงานมีข้อมูลของแรงงานนอกระบบจากการเข้าสู่ประกันสังคมตามมาตรา ๔๐ และฐานข้อมูลผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๑๑.๔ ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ เนื่องจากการขึ้นทะเบียนดังกล่าวไม่ได้เป็นการ ขึ้นทะเบียนของแรงงานนอกระบบแต่ใช้ฐานของรายได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี เป็นเกณฑ์กำหนดจึงอาจมีแรงงานในระบบ นักเรียน นักศึกษา
จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกอาชีพและส่งเสริมอาชีพให้แก่แรงงานนอกระบบดังกล่าว พบว่า ไม่ปรากฏตัวตนของแรงงานนอกระบบตามที่ได้ให้ข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนต่อหน่วยงานราชการ เนื่องจากแรงงานต้องเคลื่อนย้ายตนเองไปหางานทำจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง เพื่อให้มีงานทำและรายได้ ซึ่งการย้ายตนเองของแรงงานดังกล่าวไม่ได้มีการแจ้งต่อหน่วยงานราชการ แต่กลุ่มที่ประกอบอาชีพเกษตรกรหรือผู้สูงอายุที่อยู่ติดครอบครัวหรือชุมชน หน่วยงานจึงจะสามารถหาตัวตนของแรงงานนอกระบบได้ ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลแรงงานนอกระบบกับสำนักงานประกันสังคม เนื่องจากแรงงานนอกระบบอาจกลับเข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา ๓๓ แต่การวางแผนบริหารจัดการแรงงานนอกระบบจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลตัวเลขของหน่วยงานราชการ เพื่อการดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานนอกระบบ ซึ่งกระทรวงฯ มุ่งเน้นให้แรงงานนอกระบบมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ การดูแลสภาพแวดล้อมการทำงานให้มีความปลอดภัย
การรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พบว่า ผู้สูงอายุที่ขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีฐานะระดับปานกลางถึงระดับล่าง ในจำนวนเงิน ๖๐๐-๑,๐๐๐ บาท ต่อ คน ต่อ เดือน ซึ่งชาวบ้านสามารถดำรงชีพได้ในจำนวนเงินดังกล่าว เนื่องจากมีพืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยงของตนเอง ถ้าในอนาคตมีผู้สูงอายุที่มีสิทธิ์ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเกินกว่า ๑๐ ล้านคน และสถานการณ์สถานะการเงินการคลังของรัฐที่จะรับภาระดังกล่าวเป็นอย่างไร ทุกภาคส่วนอาจต้องมีการหารือต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อรองรับสังคม
ผู้สูงอายุ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น การส่งเสริมการออม เป็นต้น
การส่งเสริมการออมตั้งแต่วัยเยาว์เพื่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ กระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ โดยการสร้างเจตคติใหม่ในเรื่องการออมเงินให้แก่นักเรียนนักศึกษาทุกระดับ โดยเงินออม คือ เงินที่เก็บไว้ก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย ไม่ใช่เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายการเสริมสร้างทักษะและความสามารถให้แก่นักเรียนนักศึกษาเพื่อการสร้างอาชีพต่อไป และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของประชาชนโดยให้มีการคิดก่อนใช้และไม่ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ของตนเอง นอกจากนี้ระบบการออมต่าง ๆ ทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติ ควรมีความชัดเจนมีแรงจูงใจให้เกิดการออม
ท้องถิ่นกับการดูแลผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำนโยบายของรัฐบาลมาดำเนินการปฏิบัติ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการแจ้งให้ผู้สูงอายุที่มีสิทธิ์ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาขึ้นทะเบียนและสำรวจบ้านที่มีผู้สูงอายุ โดยมีการตรวจสอบจำนวนผู้สูงอายุในพื้นที่กับทะเบียนราษฎร์ สำหรับการดูแลผู้สูงอายุป่วยติดเตียง มีแนวความคิดว่าจะนำเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อเป็นเงินออมและสวัสดิการการดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยในชุมชน โดยมีคณะกรรมการดูแลกองทุนและท้องถิ่นจัดทำระเบียบดำเนินการให้ต่อไป แต่ผู้สูงอายุเมื่อได้รับเงินแล้วจะไม่นำส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่มีความยากในการดำเนินงาน ดังนั้น รัฐต้องกำหนดกฎหมายบังคับให้ท้องถิ่นมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการด้วย ซึ่งมีปัญหาการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่หลายประการที่ไม่ใช่หน้าที่และอำนาจของท้องถิ่นแต่เป็นหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แต่ท้องถิ่นมีความยินดีที่จะดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ของตนเอง สำหรับประเด็นการส่งเสริมการออมนั้น ได้มีนโยบายให้โรงเรียนในสังกัดเทศบาลส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับการออมให้แก่นักเรียน และข้าราชการลูกจ้างสังกัดเทศบาล
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี