(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
สหกรณ์กับการออม ปัจจุบันมีสหกรณ์จำนวนกว่า ๗,๐๐๐ แห่ง ทั้งด้านเกษตร ประมง ร้านค้า นิคม เป็นต้นสมาชิกมีเงินออมเฉลี่ย ๑๖๒,๐๐๐ บาท และมีหนี้ ๑๖๘,๐๐๐ บาทในระบบสหกรณ์เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยรัฐไม่ได้จ่ายเงินสมทบให้ความช่วยเหลือสหกรณ์ จากการสำรวจในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ พบว่า สหกรณ์มีการกู้ยืมเงินถึง ๑๐๐ ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพันธุ์พืชและยาปราบศัตรูพืช รองลงมา คือการปรับปรุงพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ดังนั้น รัฐจึงควรลดค่าใช้จ่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้รัฐได้กำหนดดอกเบี้ยอัตราเงินฝากสหกรณ์ร้อยละ ๔.๕ ซึ่งมากกว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรและสมาชิกมีการออมมากขึ้น แต่สมาชิกไม่ได้ให้ความสนใจติดตามตรวจสอบดูแลสถานะการเงินสหกรณ์ของตนเอง สหกรณ์ยังสามารถสนับสนุนการสร้างรายได้และการออมให้แก่แรงงานนอกระบบได้ด้วย เช่น สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนศูนย์กลางเทวา ดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่มีอาชีพเก็บขยะขาย
ข้อเสนอแนะ
- องค์กรภาครัฐควรมีการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุมากกว่าการให้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว เนื่องจากผู้สูงอายุบางส่วนยังมีความสามารถที่จะทำงานได้ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีรายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐบาลฝ่ายเดียว และเมื่อมีรายได้ก็จะเกิดการออมเงินตามมา
- คำว่า “แรงงานนอกระบบ” ควรปรับเปลี่ยนเป็น คำว่า “ผู้ประกอบอาชีพอิสระ” เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ประกอบอาชีพอื่น
- ตามมาตรา ๔๐ ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ทางเลือกที่ ๓ กำหนดให้ผู้ประกันตนสามารถโอนสิทธิ์บำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคมไปยังกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยสมัครใจนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่หากจะสามารถเลือกออมเงินทั้ง ๒ กองทุน คือ กองทุนประกันสังคม และกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องจากทั้ง ๒ กองทุน ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกันตนออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ
- การประกันรายได้ผู้สูงอายุ ส่วนสำคัญคือการออมและภาษี
- บุคคลที่สมัครสมาชิก กอช. ส่วนใหญ่อายุ ๕๕ ปีขึ้นไป มีความประสงค์จะขอขยายการออมให้ได้ ๑๐๐%
- แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ขาดความตระหนักในการออมและมีรายได้น้อย อีกทั้งไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสมัครสมาชิก กอช. และผลประโยชน์ที่จะได้รับ จึงส่งผลให้แรงงานดังกล่าวไม่มีการออม
- ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับผู้ใช้แรงงานนอกระบบ เนื่องจากผู้ใช้แรงงานนอกระบบในประเทศไทยมีจำนวนมาก จึงควรจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมกับกลุ่มแรงงานในระบบ จัดตั้งกลไกเพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถร้องเรียนความเป็นธรรมได้ และส่งเสริมการรวมกลุ่มของแรงงานนอกระบบ เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง
- สร้างแรงจูงใจในการออม โดยปรับแก้ไขสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมตามมาตรา ๔๐ และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบได้มาสมัครเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากแรงงานนอกระบบมีความหลากหลายสูง จึงจำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์และกำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและจูงใจ
- การเตรียมความพร้อมของแรงงานนอกระบบผู้ใช้แรงงานต้องปรับตัวเพื่อรองรับปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการทำงานในอนาคต โดยพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ เช่น ทักษะด้านภาษา การบริหารจัดการ ความรู้ด้านการเงินความรู้ด้านสุขภาพ ทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และการเข้าถึงแหล่งทุน
- การหาจุดที่จะเข้าถึงแรงงานนอกระบบนั้นเป็นปัญหาหนึ่งในการทำให้เกิดการออม ดังนั้นแนวทางหนึ่งในการเข้าถึงแรงงานนอกระบบ คือ การกู้ยืม เนื่องจากแรงงานในกลุ่มนี้มีการติดต่อกับสถาบันการเงินอยู่ ดังนั้นสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ติดต่อขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ควรกำหนดมาตรการบังคับให้บุคคลดังกล่าวมีการออมด้วย โดยต้องเป็นสมาชิกกองทุนที่มีการออมเงินภาคบังคับก่อนขอกู้ยืมเงิน ตามจำนวนที่กำหนดตามความเหมาะสม โดยให้ภาครัฐจ่ายสมทบ ซึ่งก็จะคล้ายกับการกู้ยืมเงินของ Grameen Bank ประเทศบังกลาเทศที่จะต้องมีการออมเงินก่อน
- รัฐได้สร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุที่ยากจนโดยจัดสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งในอนาคตแนวโน้มผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น รัฐจึงควรกำหนดนโยบายที่จะจัดการให้การใช้จ่ายเงินดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต
- ควรกำหนดให้ผู้สูงอายุที่ไม่เป็นบุคคลที่มีรายได้น้อยหรือไม่ยากไร้ ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในอัตราส่วนที่น้อยกว่าผู้สูงอายุที่มีความเดือดร้อน รายได้น้อยหรือยากไร้ เพื่อให้การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมีความเป็นธรรมอย่างแท้จริง และจะสามารถช่วยลดภาระงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของรัฐได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุดังกล่าวไม่ควรกระทบกับบุคคลที่มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามกฎหมายในปัจจุบันดังนั้นมาตรการใดที่จะเปลี่ยนแปลงอาจมีระยะเวลาให้มีผลในอนาคตเช่น ๑๐ ปี นับจากหลักเกณฑ์นี้จะถูกนำไปใช้
- การให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการออมให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้าง และแรงงานกลุ่มอื่นๆ ส่วนใหญ่หน่วยงานจะให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวในช่วงที่แรงงานดังกล่าวอยู่ในวัยใกล้เกษียณ ซึ่งควรมีการให้ความรู้เรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่วัยเยาว์หรือวัยแรงงาน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
- การกำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานของหน่วยงานราชการ ขาดการบูรณาการการทำงานจากหน่วยงานที่ดำเนินการมาตั้งแต่ในช่วงแรกจนถึงหน่วยงานที่ดำเนินการในช่วงสุดท้าย จึงส่งผลให้การดำเนินงานพัฒนาประเทศด้านการออมและการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณไม่มีความสอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างกัน อีกทั้งไม่มีหน่วยงานหลักที่เป็นเจ้าภาพการทำงานร่วมกัน ซึ่งแต่ละหน่วยงานต่างคนต่างทำงานตามเป้าหมายของหน่วยงาน ดังนั้น จึงควรกำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายให้มีความชัดเจนและกำหนดให้มีหน่วยงานหลักในการดำเนินงานและภาระงานแต่ละช่วงให้มีความชัดเจน เพื่อให้การทำงานมีความสอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างกันและประสบความสำเร็จ
- ควรสร้างความเชื่อมั่นในสิทธิประโยชน์ ผลตอบแทนและความมั่นคงของ กอช. เพื่อสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้แก่ประชาชนที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. และกำหนดช่องทางการชำระเงินให้เพิ่มเติม เช่น ชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลที่ได้รับจากการเสวนาไปวิเคราะห์จัดทำเป็นรายงานการพิจารณาศึกษา พร้อมข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการออมเพื่อการเกษียณของแรงงานนอกระบบในประเทศไทยต่อไป
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐๒-๘๓๑๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี