ในปัจจุบันพบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งทุกๆ ชนิดเพิ่มมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้และยาใหม่ๆ ที่ใช้สำหรับรักษาโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะแพร่กระจายมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น ตัวอย่างในผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็กระยะลุกลามในสมัยก่อนจะมีอัตราการรอดชีวิตโดยเฉลี่ยประมาณ 4-6 เดือน แต่ในปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็กระยะลุกลามที่เกิดจากความผิดปกติของยีนจำเพาะ จะสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเป็น 2-3 ปี หากได้รับการรักษาด้วยยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาด้วยยาที่เป็นมาตรฐานอาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาเช่นบางกรณีการไม่ได้รับยาหรือเริ่มยาช้าเกินไปมีผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาและผลการรักษาอาจไม่ดีเท่าที่ควร
กว่าจะมาเป็นยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็งตามมาตรฐานจะต้องผ่านกระบวนการทางวิทยาศาตร์ใดบ้าง กว่าจะเป็นยารักษาโรคมะเร็งที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration; FDA) จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบทางวิทยาศาสตร์หลายขั้นตอน และในแต่ละขั้นตอนจะต้องตรวจสอบหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่แน่นอนและเหมือนกันทุกครั้ง ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๆ พอสังเขปดังต่อไปนี้
การทดลองกับเซลล์มะเร็งทางห้องปฏิบัติการ โดยกระบวนการนี้จะทำการทดลองในห้องแล็บด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง เพื่อวิเคราะห์/ประเมินประสิทธิผลของยานั้นๆในการฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง นอกจากนี้ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของยาดังกล่าวต่อการทำลายเซลล์มะเร็งอีกด้วย
หลังจากที่ได้ผลการทดลองเกี่ยวกับประสิทธิผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองแล้ว ในลำดับต่อไปจะเป็นขั้นตอนการนำยาใหม่นั้นๆ มาใช้ศึกษาในสัตว์ทดลองขนาดเล็ก ส่วนมากจะใช้เป็นหนูขนาดเล็ก (mice) โดยจะฉีดเซลล์มะเร็งเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังของหนูและใช้ยาที่คิดค้นใหม่นี้รักษาหนูที่ได้ถูกฉีดเซลล์มะเร็งเข้าไปหลังจากนั้นจะประเมินประสิทธิผลของยาใหม่และศึกษาถึงผลข้างเคียงโดยละเอียดจากยานั้นๆ อีกด้วยหลังจากที่ได้ประสิทธิผล และทราบถึงขนาดยาที่เหมาะสมในการยับยั้งเซลล์มะเร็งจากการทดลองในสัตว์ทดลองขนาดเล็ก รวมถึงข้อมูลความปลอดภัยจากสารดังกล่าวแล้วบางการศึกษาอาจทำการทดลองในสัตว์ใหญ่และบางการศึกษาอาจเริ่มทำการศึกษาในมนุษย์เป็นลำดับถัดไป
เป็นขั้นตอนการศึกษาประสิทธิภาพของยาที่คิดค้นใหม่และความปลอดภัยในมนุษย์โดยจะแบ่งได้เป็น 4 ช่วงดังนี้ 5.1) การศึกษาระยะที่ 1 (Phase I study) เป็นระยะแรกที่นำยาที่คิดค้นใหม่มาศึกษาในมนุษย์โดยจะศึกษาถึงขนาดของยาใหม่ที่จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับมนุษย์และจะศึกษาถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากยาใหม่นอกจากนี้ยังศึกษาถึงรายละเอียดของยาใหม่เกี่ยวกับการดูดซึมการเผาผลาญและการขับออกในร่างกายมนุษย์ซึ่งการศึกษาในระยะที่ 1 นี้จะทำการศึกษาในอาสามัครกลุ่มประชากรที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 2 ถึง 100 ราย
5.2) การศึกษาระยะที่ 2 (Phase II study) หลังจากที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับขนาดหรือปริมาณของยาที่คิดค้นใหม่ที่ปลอดภัยจากการศึกษาระยะที่ 1 (Phase I study) แล้วการศึกษาในระยะที่ 2 นี้จะเน้นด้านการประเมินประสิทธิภาพของยาใหม่ในการรักษาโรคมะเร็งรวมถึงการประเมินด้านความปลอดภัยและผลข้างเคียงจากยาในผู้ป่วยมะเร็ง
5.3) การศึกษาระยะที่ 3 (Phase III study) เป็นขั้นตอนการศึกษาวิจัยที่ต่อเนื่องจากการวิจัยในระยะที่ 2 (Phase II study) ซึ่งการวิจัยในระยะที่ 3 นี้เป็นระยะที่สำคัญมาก โดยผลของการศึกษาระยะนี้จะเป็นตัวประเมินถึงประสิทธิภาพของยาที่คิดค้นใหม่ต่อการรักษาโรคมะเร็งได้ดีที่สุด เนื่องจากการวิจัยในระยะนี้จะต้องทำการทดสอบในกลุ่มประชากรที่เป็นโรคมะเร็งนั้นๆ จากหลายๆ โรงพยาบาลและหลายๆ แห่งทั่วโลกในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันโดยจำนวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมการวิจัยในระยะนี้จะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 300 รายขึ้นไปและผู้ป่วยทั้งหมดที่เข้าร่วมงานวิจัยในระยะนี้จะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มแบบสุ่มตามชนิดของการรักษา กล่าวคือผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งจะได้รับการรักษาด้วยยาที่คิดค้นใหม่ และผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่งจะได้รับการรักษาตามมาตรฐานเดิมที่ใช้รักษาในปัจจุบัน จากนั้นผู้วิจัยจะประเมินประสิทธิภาพการตอบสนองจากการรักษาคุณภาพชีวิตรวมถึงผลข้างเคียงในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มและนำข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวมาวิเคราะห์และเปรียบเทียบกันโดยใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางสถิติขั้นสูงเพื่อตัดสินถึงประสิทธิผลจากยาใหม่โดยมีตัวเปรียบเทียบคือยาที่ใช้รักษาตามมาตรฐานเดิม หากผลการวิเคราะห์ทางสถิติขั้นสูงชี้บ่งถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของยาใหม่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีความปลอดภัยจากการใช้ยาใหม่นี้ก็แสดงว่ายาที่คิดค้นใหม่นี้น่าจะนำมาใช้สำหรับการรักษาในอนาคต และจะดำเนินการตรวจสอบเพื่อรับรองถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration; FDA) สำหรับวางจำหน่ายเพื่อใช้รักษาอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขและกฎหมายเป็นลำดับต่อไป
5.4) การศึกษาระยะที่ 4 (Phase IV study) เป็นการศึกษาเก็บข้อมูลในด้านความปลอดภัยและผลข้างเคียงของยาใหม่เพิ่มเติมหลังจากที่ยาใหม่นั้นได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration; FDA) และได้วางจำหน่ายอย่างถูกต้องแล้วหากพบมีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยานั้นๆ ในช่วง Phase IV ยาชนิดนั้นจะถูกเพิกถอนและยุติการใช้ยา
บทสรุป
ในปัจจุบันยาทุกชนิดที่ใช้รักษาโรคมะเร็งตามมาตรฐานสากลนั้นจะต้องผ่านกระบวนการทดสอบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัดและต้องได้รับการพิสูจน์รับรองจากองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration; FDA) เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดกับผู้ป่วยโรคมะเร็งสูงสุดและเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อผู้ป่วย
หากท่านสงสัยว่า ยาชนิดใดก็ตาม ที่มีผู้อ้างว่า “ใช้รักษาโรคมะเร็งได้”จะรักษาโรคมะเร็งได้ผลจริงไหม ท่านควรตรวจสอบโดยละเอียดก่อนว่า ยานั้นได้ผ่านกระบวนการทดสอบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวแล้วหรือยังและยานั้นได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาหรือยังจึงจะตอบคำถามได้อย่างมั่นใจว่ายานั้นรักษาโรคมะเร็งได้ผล จริงหรือไม่จริง
นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี