(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
กรณีต่างประเทศ ในสหรัฐอเมริกามีกฎหมายที่เกี่ยวกับการห้ามเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ ซึ่งมีประเด็น RA ในหลายๆ ด้านทั้งเรื่องการศึกษา การทำงาน และที่พักอาศัย มีแนวทางปฏิบัติในการรับ คนพิการเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐ รวมถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการสามารถทำงานได้เช่นเดียวกับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงทางกายภาพ ทางลาดและห้องน้ำคนพิการ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกต่างๆในสถานที่ทำงาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องช่วยฟังสำหรับคนหูหนวกคอมพิวเตอร์สำหรับคนตาบอด หรืออื่นๆ โดยคำนึงถึงประเภทความพิการ การปรับเวลาการทำงานเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นเรื่องเวลา การทำงานสำหรับคนพิการ เป็นต้น นอกจากนี้ คนพิการบางคนอาจจะต้องมีผู้ช่วยหรือผู้ดูแลคนพิการที่จะต้องตามไปด้วย ซึ่งสถานที่ทำงานที่รับคนพิการเข้าทำงานต้องจัดสถานที่เพื่อรองรับผู้ช่วยคนพิการด้วย โดยในกฎหมายไทยก็มีกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายควบคุมอาคาร ที่บังคับใช้กับอาคารใหม่ต้องจัดให้ คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ แต่อาคารเดิมที่กฎกระทรวงไม่มีผลบังคับย้อนหลัง ก็ต้องนำหลัก RA เข้ามาใช้สำหรับด้านการศึกษาของสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายกำหนดว่าเด็กพิการต้องสามารถเข้าถึงการศึกษาในโรงเรียนของรัฐกฎหมายจะบังคับเฉพาะในสถานศึกษาของรัฐจัดให้มี RAในลักษณะคล้ายๆ กับสถานที่ทำงาน ทั้งการปรับสถานที่ทางกายภาพ รถรับส่งนักเรียน ล่ามภาษามือ อุปกรณ์ช่วยฟังสำหรับคนหูหนวก สื่อการเรียนการสอนที่เป็นอักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอด สภาพห้องเรียน ที่เหมาะสมสำหรับเด็กพิการ รวมไปถึงการเตรียมแผนอพยพ กรณีเกิดภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุในโรงเรียนก็จะต้องมีแผนดูแลเด็กพิการ ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาไม่มีปัญหาเรื่องของการอำนวยความสะดวกอย่างสมเหตุสมผล หากมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถนำเรื่องขึ้นสู่ศาลเพื่อวินิจฉัยว่า ผู้มีหน้าที่ให้หรือจัดอำนวยความสะดวกปฏิเสธไม่จัดให้มี RA นั้นเป็นภาระเกินควรหรือไม่ และคำพิพากษาศาล ก็จะเป็นบรรทัดฐานการดำเนินงานเรื่อง RA
ดังนั้น ลักษณะของการอำนวยความสะดวกอย่างสมเหตุสมผลซึ่งเป็นเฉพาะกรณี จึงไม่มีแนวทางอะไรที่ชัดเจน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น และขึ้นอยู่กับความพิการ โดยกระบวนการที่สำคัญของ RA คือ กระบวนการคุยกับคนพิการว่าคนพิการที่เข้ามาใช้บริการมีความต้องการอย่างไร แล้วผู้มีหน้าที่ให้บริการจะสามารถจัดบริการให้ได้หรือไม่ ซึ่ง RA ถือเป็นการแก้ปัญหาให้เป็น รายกรณี แต่การแก้ปัญหาเฉพาะรายนั้นก็อาจจะเป็นประโยชน์กับคนพิการโดยทั่วไปได้ด้วย ทั้งนี้ หากจะมี การแก้ไขกฎหมาย กลไกหนึ่งที่จะช่วยวางแนวทางเรื่อง RA ได้ คือ กลไกของคณะอนุกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ จากกรณีเรื่องร้องเรียนการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้ช่วยแก้ปัญหา หรือกรณีที่ผู้ให้บริการสามารถจัดอำนวยความสะดวกได้อย่างสมเหตุสมผล จึงเห็นควรรวบรวมแนวปฏิบัติ แนวข้อเสนอหรือความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ จากกรณี การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ ถือเป็นรูปแบบ RA อันจะเป็นประโยชน์กับคนพิการที่เจอปัญหาในลักษณะเดียวกัน เพื่อใช้กำหนดแนวทางปฏิบัติด้าน RA ก่อนที่จะนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมในกฎหมายต่อไป
นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้แสดงความคิดเห็น ดังนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาจากการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานของฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน จึงเกิดกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ขึ้นภายใต้กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่หลักในการส่งเสริมคุ้มครองและสร้างหลักประกันด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ในขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ตรวจตราการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของภาครัฐ ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐด้านสิทธิมนุษยชนให้ดีขึ้น โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพรับผิดชอบสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ๕ ฉบับ จากทั้งหมด ๙ ฉบับ ได้แก่ (๑) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and PoliticalRights : ICCPR) (๒) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights : ICESCR)(๓) อนุสัญญาว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination : CERD) (๔) อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) และ (๕) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons fromEnforced Disappearance : CED) โดยสนธิสัญญาอีก ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child : CRC) (๒) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women : CEDAW) และ (๓) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ (Convention on the Rights of the Persons with Disabilities :CRPD) อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นอกจากนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ยังรับผิดชอบ เรื่อง แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลไกหรือเครื่องมือสำคัญในการติดตามการเข้าถึงสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดให้คนพิการเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมาย และถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน RA ได้เป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ และอยู่ระหว่างการเตรียมจัดทำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๔
นอกจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะมีภารกิจหน้าที่หลักในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ตั้งแต่ชั้นสอบสวนไปจนถึงชั้นพิจารณาคดี การช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรม ได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม ยังได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลด้านการส่งเสริมสิทธิของผู้พิการ ตามที่รัฐบาลได้ประกาศเห็นชอบวาระแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน ร่วมขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ เพื่อการพัฒนา ที่ยั่งยืน และถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยประกาศยกระดับประเด็นสิทธิมนุษยชนให้เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้ง ให้ทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชน โดยมีวาระ ๒ ปี ทั้งนี้ ประเด็นที่สำคัญคือการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเข้ามารับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชนนอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามนโยบายการจ้างงานคนพิการ ของรัฐบาลเพื่อจ้างงานคนพิการให้ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และกำหนดการจ้างงานคนพิการให้เป็นตัวชี้วัดหนึ่งของกระทรวงต่างๆ ด้วย
การดำเนินงานด้านการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของคนพิการที่สำคัญ คือ ระบบคลังความรู้เปิดของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเรียกว่า OER มีระบบที่สำคัญ คือ ระบบคำศัพท์ล่ามภาษามือในกระบวนการยุติธรรม จากการดำเนินงานด้านการดูแลผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อดูแลเหยื่ออาชญากรรมโดยที่ตัวเองไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดนั้น ซึ่งรัฐต้องดูแลความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนรวมทั้งการเยียวยาในเบื้องต้น จากประสบการณ์ทำงานพบว่ากลุ่มคนหูหนวก ยังมีอุปสรรคอย่างมากในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นสอบสวนไปจนถึงชั้นอัยการ เช่น กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ คนหูหนวกบอกไม่ได้ว่าใครทำ จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้อย่างจริงจัง จึงเริ่มต้นจัดทำศัพท์ภาษามือซึ่งเป็นศัพท์ทางกฎหมาย จำนวน ๑๐๔ คำ ที่พัฒนาขึ้นมาเบื้องต้น โดยในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ นี้จะได้ส่งมอบให้กับทางโรงเรียนหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของ คนพิการเพื่อประโยชน์ต่อการให้บริการคนหูหนวกด้วย เนื่องจากช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนล่ามภาษามือ ซึ่งในชั้นการพิจารณาของศาลได้เริ่มใช้ระบบการพิจารณาด้วยจอภาพแล้ว ดังนั้น ในชั้นการสอบสอนของตำรวจทั่วประเทศก็น่าจะนำระบบดังกล่าวไปใช้ดำเนินการได้ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ต้องจัดให้มีล่ามภาษามือสำหรับผู้เสียหาย จำเลย หรือพยานที่เป็นคนหูหนวก นอกจากนี้ ยังมีบริการคิวอาร์โค้ด เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการทางสายตาหรือคนตาบอด สำหรับเป็นข้อมูลต่างๆ ในการให้บริการประชาชนที่เป็นคนตาบอด โดยจัดทำเป็นหนังสือเสียง และได้นำเสนอในงานสัมมนาด้านสิทธิมนุษยชนของอาเซียนที่ผ่านมา โดยได้รับความชื่นชมว่าประเทศไทย มีความก้าวหน้าในด้านสิทธิมนุษยชน ด้วยการแจ้งสิทธิประโยชน์และสิทธิต่างๆ ของคนพิการ ผ่านคิวอาร์โค้ด ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาของคนพิการที่สำคัญ คือ ปัญหาการรับรู้ข่าวสารของหน่วยงานรัฐ การเข้าถึงงานบริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียม การเข้าถึงระบบการขนส่งสาธารณะ ความเสมอภาคของการจ้างงานของคนพิการ การเหลื่อมล้ำของการให้บริการทางสาธารณสุขและการเข้าถึงระบบการศึกษา ยังเป็นปัญหาที่ทุกหน่วยงานต้องบูรณาการร่วมกันทำงานต่อไป
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-8319225-6 แฟกซ์ 02-8319226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี