@ สุนัขและแมวติดพยาธิเหล่านี้ได้อย่างไร
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า สุนัขและแมวสามารถติด “พยาธิปากขอ”ได้จาก 2 ทางหลัก คือ 1.ตัวอ่อนระยะติดต่อ “ไช”ผ่านทางผิวหนังที่ชื้น (เช่นนอนสัมผัสพื้นดิน) หรือ 2.การ “กิน” ตัวอ่อนที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม หรือที่อยู่ในเนื้อเยื่อของสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กรวมทั้งแมลงสาบ
นอกจากนี้ ช่องทางการติดต่อที่สำคัญของพยาธิปากขอสู่ลูกสุนัขอีกช่องทางหนึ่งคือ ผ่านทาง “น้ำนม“ โดยการกินตัวอ่อนของพยาธิที่ถูกขับออกมากับน้ำนมของแม่สุนัข โดยแม่สุนัขอาจติดพยาธิแบบเฉียบพลัน หรือมีพยาธิตัวอ่อนที่แฝงอยู่ในเนื้อเยื่อ แล้วถูกกระตุ้นให้เคลื่อนมาที่ต่อมน้ำนมในช่วงท้ายของการตั้งท้อง ซึ่งพยาธิตัวอ่อนในเนื้อเยื่อนี้ ก็กลับมาทำให้แม่สุนัขมีพยาธิในลำไส้ได้อีกครั้งด้วย
สำหรับ ”พยาธิไส้เดือน” นั้น ทั้งสุนัขและแมวติดพยาธิได้จากการ “กิน” ไข่พยาธิที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อและปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม หรือการกินเหยื่อ เช่น หนู นก ที่มีตัวอ่อนของพยาธิ
ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการติดต่อของพยาธิไส้เดือนในลูกสุนัขคือ ผ่านทาง “รก” ในขณะตั้งท้อง เนื่องจากขณะที่แม่สุนัขตั้งท้อง ตัวอ่อนของพยาธิที่แฝงอยู่ในอวัยวะของแม่สุนัขจะเคลื่อนที่ผ่านทางรกมายังลูกสุนัขได้ก่อนคลอด อีกทั้งผ่านทางน้ำนมแม่สุนัขได้ด้วย แต่สำหรับแมว ไม่มีการถ่ายทอดเชื้อผ่านทางรก ส่วนการติดต่อจากผ่านทางน้ำนม อาจเกิดขึ้นในกรณีที่แม่แมวที่ติดพยาธิขณะตั้งท้องช่วงท้ายๆ หรือช่วงให้นมเท่านั้น และตัวอ่อนจะไปเจริญต่อที่ลำไส้เล็กโดยไม่เคลื่อนย้ายไปอวัยวะอื่นก่อน
@ หลังจากที่สุนัขและแมวติดพยาธิเข้าไปแล้ว พยาธิจะใช้เวลานานแค่ไหนในการเจริญเป็นตัวเต็มวัยในลำไส้เล็กจนพยาธิออกไข่มาให้ตรวจพบได้ในอุจจาระ?
ระยะเวลานั้น ขึ้นกับชนิดพยาธิแต่ละชนิด ช่องทางการติดต่อ อายุ และภูมิคุ้มกันของสัตว์
สำหรับ “พยาธิปากขอ” ส่วนใหญ่ในสุนัขใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และ 2-4 สัปดาห์ในแมว
แต่ถ้าเป็นลูกสุนัขที่ติดพยาธิปากขอทางน้ำนมจะพบไข่พยาธิได้ตั้งแต่อายุ 10-12 วันเลยทีเดียว
ส่วน “พยาธิไส้เดือน” ในสุนัขใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ พยาธิไส้เดือนแมวใช้เวลา 8 สัปดาห์
@ สุนัขและแมวที่มีอาการท้องเสีย อาเจียนแต่ตรวจอุจจาระแล้วไม่พบไข่พยาธิ แสดงว่าไม่ติดพยาธิใช่หรือไม่?
กรณีนี้ เรายังฟันธงไม่ได้ว่าไม่มีพยาธิ จนกว่าจะได้ตรวจอุจจาระซ้ำใน 2-3 วันถัดไป เนื่องจากสัตว์สามารถแสดงอาการผิดปกติของทางเดินอาหารได้ตั้งแต่พยาธิกำลังเจริญเติบโต หรือยังเคลื่อนที่มาไม่ถึงลำไส้ หรือพยาธิอาจยังไม่ได้ผสมพันธุ์ หรืออาจมีพยาธิเพียงเพศเดียว จึงทำให้ตรวจไม่พบไข่พยาธิในอุจจาระก็ได้ แต่ระยะเหล่านี้สามารถ “ก่อโรคได้” นอกจากนี้ เจ้าของควรนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุอื่นหรือสาเหตุร่วมที่ทำให้มีอาการท้องเสียด้วย เช่น การติดเชื้อไวรัสลำไส้อักเสบในสุนัข ไวรัสไข้หัดแมว เชื้อโปรโตซัว หรือแพ้อาหาร เป็นต้น
@ การติดพยาธินั้น นอกจากทำให้มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจแล้ว ยังส่งผลเสียอย่างอื่นกับสัตว์เลี้ยงหรือไม่?
การติดพยาธินั้น ยังมีผลเสียเรื่องการสร้างภูมิต้านทานหลังได้รับการฉีดวัคซีนอีกด้วย พยาธิปากขอและพยาธิไส้เดือนมักก่อโรคได้รุนแรงในลูกสัตว์ อีกทั้งเป็นช่วงเดียวกับที่ลูกสุนัขและลูกแมวควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสหลายชนิดที่สำคัญ รวมทั้งโรคพิษสุนัขบ้า
หากลูกสัตว์ไม่สมบูรณ์แข็งแรง การสร้างภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นได้ “ไม่สมบูรณ์” และ “ไม่คุ้มโรค” ทำให้ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคแม้จะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม
ในครั้งต่อไป เราจะมาคุยกันว่า พยาธิเหล่านี้สามารถก่อปัญหาใน “คน” ได้หรือไม่ และเราจะมีโปรแกรมถ่ายพยาธิให้แก่สัตว์เลี้ยงได้อย่างไร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี